ขึ้นชื่อว่ามันเกมภาคต่อไม่ว่าจะทำออกมากี่ภาคตัวเกมก็ต้องมีการคอยปรับโน่นเปลี่ยนนี่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงตอบโจทย์ให้เข้ากับความต้องการของผู้เล่นได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นซีรี่ส์เกมยักษ์ใหญ่อย่าง Assassin’s Creed ซึ่งฝากผลงานมากมายหลายภาค ก็ย่อมจะต้องผ่านประสบการณ์มาโชกโชนเลยทีเดียวทั้งดีและไม่ดี พร้อมต้องคอยแบกรับความคาดหวังของเหล่าแฟนเกมเสมอๆ ในทุกครั้งที่มีการปล่อยตัวเกมภาคใหม่ออกมา
ทางตัวเกมภาคล่าสุดประจำซีรี่ส์ก็ได้แก่ Assassin’s Creed Valhalla ว่าด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของเหล่าไวกิ้ง ซึ่งก็สร้างเสียงฮือฮาและสร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าแฟนเกมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยนอกจากในส่วนของ Trailer คอยปล่อยออกมาก็จะมีเพียงแค่ข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เปิดเผยร่วมด้วย จึงทำให้แฟนเกมค่อนข้างจะคาดหวังในหลายๆ อย่าง แต่ก็มีอยู่ 3 สิ่งเหล่าแฟนเกมส่วนใหญ่คาดหวังตรงกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างเราลองมาดูและทำความเข้าใจกันดีกว่าครับ
มีความใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์จริงมากที่สุด
ถ้าเพื่อนๆ เคยเล่นเกมในซีรี่ส์นี้มาจะเข้าใจได้ทันที อย่างแรกด้วยเพราะตัวเกมมีการอ้างอิงเกี่ยวกับลัทธิอัศวินเทมพลาร์ กลุ่มของอัศวินที่มีตัวตนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จริง ไปจนถึงการอ้างอิงไทม์ไลน์และบุคคลจากหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นในภาค Assassin’s Creed II ในภาคนี้เรายังจะได้มีโอกาศพบ เลโอนาร์โด ดาวินซี (Leonardo da Vinci) อัจฉริยบุคคลผู้มีตัวตนอยู่จริงและยังเป็นผู้คิดค้นสิ่งของต่างๆ มากมายในยุคนั้น แต่ภายในเกมตัวของชายผู้นี้กลับกลายมาเป็น NPC ผู้คอยช่วยสร้างอุปกรณ์ให้กับตัวละครของเรา
หรือแม้แต่ในภาค Assassin’s Creed Syndicate ในส่วนของ DLC จะมีเนื้อเรื่องของ Jack the Ripper ฆาตกรต่อเนื่องสุดสะพรึงแห่งกรุงลอนดอนผู้มีตัวตนอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1888 ตามประวัติแล้วเขาเป็นเพียงฆาตกรทั่วไปไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรทั้งนั้น แต่ภายในเกมชายผู้นี้กลับมีความสามารถอันหลากหลาย ถึงกับว่าเขาสามารถทำการสังหารเหล่า Assassin ได้เลยทีเดียวในมุมมองความเป็นจริงแล้วคนธรรมดานั้นแทบจะเป็นไปไมไ่ด้เลยที่จะสามารถลงมือฆ่ามือสังหารเหล่านี้ได้
ด้วยเหตุว่าพอนำมาทำเป็นเกมอาจจะต้องมีการแต่งโน่นเติมนี่เข้ามาให้มันดูน่าสนใจขึ้น จนในบางครั้งก็อาจจะมีความเลยเถิดไปไกลจนออกทะเลไปเลยก็มี เหล่าแฟนเกมจึงต้องการว่าอย่างน้อยอยากให้ตัวเกมในภาคนี้มีการอิงเนื้อเรื่องประวัติศาสตร์จริงให้ใกล้เคียงมากที่สุด ให้ใกล้เคียงกับการกลับไปเป็น Assassin’s Creed ที่รู้จักกัน ยิ่งด้วยในยุคของไวกิ้งนั้นจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าไปถึงตำนานลี้ลับมากมาย เหล่าแฟนเกมจึงกลัวว่าทางค่ายจะมีการหยิบตำนานเหล่านี้มาใช้แล้วทำให้ตัวเกมถูกแต่งเติมจนเวอร์จากความเป็นจริง จนสุดท้ายแล้วมันอาจจะทำให้ออกมาเป็นอีกเกมแล้วหลุดจากแนวทางไปเลย
มีแนวทางของตัวเองชัดเจน
ในช่วงหลายปีนี้หากเราทำการมองย้อนกลับไปจะพบได้เลยว่าค่อนข้างจะหลายเกมเลยที่มีการใช้ธีมของ “ไวกิ้ง” เข้ามาร่วมกับตัวเกมหรือใช้เป็นเนื้อเรื่องหลักไปเลยก็มี ถ้าให้ยกตัวอย่างเห็นกันแบบชัดๆ ก็คงไม่พ้น Hellblade:Seuna’s Sacrafice หรืออย่าง God of War (2018) โดยทั้งสองเกมนี้ก็มีแนวทางและรูปแบบการเล่นเป็นของตัวเองอย่างชัดเจนมาก แฟนเกมจึงอยากให้ทาง Assassin’s Creed Valhalla สามารถสร้างแนวทางเป็นของตัวเองและไม่ไปซํ้ากับเกมอื่นๆ นั่นเอง
ในส่วนนี้ผมค่อนข้างจะเข้าใจว่าทำไมเหล่าแฟนเกมถึงคาดหวังในส่วนนี้ เพราะทางแฟรนไชส์ Assassin’s Creed เองในช่วงแรกตัวเกมก็จะมีสไตล์การเล่นชัดเจนคือเน้นไปทาง Stealth และลอบฆ่าทำภารกิจเป็นหลักพร้อมจุดเด่นคือการปีนป่ายอย่างอิสระ จนกระทั่งเข้ามาถึงภาค Origin ตัวเกมเริ่มมีการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบของ RPG มีการเก็บเลเวลและระบบสกิลเพิ่มเข้ามาแถมออกไปทางแนวแอ็คชั่นเต็มรูปแบบ จึงทำให้รูปแบบดั้งเดิมของตัวเกมมันหายไปกลิ่นอายแบบที่เคยมีมันไม่หลงเหลืออีกต่อไป และก็ด้วยเหตุผลนี้แหละจึงทำให้แฟนๆ กังวลว่าการกลับมาในภาคนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกรอบ แล้วไปทำการลอกเลียนแบบแนวเกมอื่นอีกก็เป็นได้
ส่วนตัวผมก็ชอบสไตล์ RPG ในภาค Origin กับ Odyssey นะ แต่ผมกลับรู้สึกชอบสไตล์แนวการเล่นแบบดั้งเดิมมากกว่าเพราะตัวละเกมขึ้นชื่อว่า Assassin จะให้มาบู๊แหลกเลยมันก็ไม่ใช่แถมดันยังไปคล้ายเกมอื่นๆ อีกทำให้สเน่ห์และจุดดึงดูดของตัวเกมหายไปเลยก็ว่าได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนแล้วล่ะว่าจะชอบแบบใด
ใช้ประโยชน์จากเครื่องเกมได้อย่างเต็มที่
หนึ่งในปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของเกมสมัยนี้คือข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ด้วยว่าเกมสมัยนี้มักจะมีการเลือกจะทำให้สามารถเล่นได้ทุกแพลตฟอร์มอย่างเช่น Assasin’s Creed Valhalla ซึ่งจะลงให้กับทั้ง PS4, Xbox One และ PC แต่เนื่องจากแต่ละแพลตฟอร์มนั้นจะมีสเป็คไม่เหมือนกัน จึงทำให้ประสิทธิภาพของเกมที่ออกมาในแต่ละเครื่องก็ย่อมไม่เท่ากันรวมไปถึงปัญหาที่ตามมาด้วย อย่างเช่นบางเกมเวลาลงให้กับทาง PC อาจจะมีภาพลื่นไหลกว่าแต่การบังคับอาจจะแปลก แต่พอไปลงให้กับทางคอนโซลเฟรมเรทอาจจะน้อยกว่าก็จริงแต่ระบบการเล่นมีความลื่นไหลกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละเกมก็แตกต่างกันไป บ้างก็ไล่แก้ทีละจุดจนมันลงตัวหรือบ้างก็เลือกจะลดคุณภาพของตัวเกมไปเลยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ตลอดไปจนถึงการนำระบบบางอย่างออกเพื่อไม่ให้กระทบกับตัวเกมก็เคยมีมาแล้ว เหล่าแฟนจึงต้องการอยากจะให้ Assassin’s Creed Valhalla ทำเกมออกมาได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมทั้งยังสามารถใช้ประสิทธิภาพของเครื่องเกมออกมาได้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเครื่องเกมมีสเป็คและประสิทธิภาพสูงมากแต่ตัวเกมกลับทำออกมาได้ไม่ถึงครึ่งเลยก็ไม่ไหวนะ
เอาจริงๆ ก็ยังมีอีกหลายอย่างมากเลยครับกับสิ่งที่เหล่าแฟนเกมคาดหวัง แต่ว่า 3 สิ่งนี้คือเห็นพ้องต้องกันมากสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีชื่อว่า Assassin’s Creed ขึ้นต้นด้วยแล้วล่ะก็นะ ก็คงได้แต่ต้องคอยรอดูกันต่อไปล่ะครับว่าตัวเกมจะออกมาในรูปแบบไหน จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างทั้งดีขึ้นหรือแย่ลงเองก็ตาม
สำหรับ Assassin’s Creed Valhalla ก็จะมีการลงให้กับทั้ง PlayStation 4, Xbox One และ PC โดยกำหนดการวางจำหน่ายก็จะอยู่ในช่วงสิ้นปี 2020 นี้นั่นเอง ใครตั้งตารอกับการกลับมาของภาคต่อเกมระดับตำนานอย่างภาคนี้ ก็ช่วยอดทนรอกันอีกสัดนิดนะไม่กี่เดือนก็จะได้เล่นกันแล้ว