ช่วงนี้มีข่าวของการ Remake, Remaster เกมเก่าๆ กลับมาทำใหม่ ไม่ว่าจะค่ายไหนต่อค่ายไหน ในครั้งนี้ก็เช่นกัน สำหรับ Blizzard ที่ได้พยายามชุบชีวิตเกมในตำนานของเขาเกมหนึ่งกลับมา และในวันนี้เราก็จะมารีวิวเจ้าเกมในตำนานตัวนี้กันว่า การคืนชีพครั้งนี้ของมันเป็นอย่างไร กับ Diablo 2: Resurrected
ในขณะเขียน review นี้เป็นการเล่นผ่านช่วง Beta ของตัวเกม เมื่อตัวเกมเต็มออกมาจะมีการแก้ไข Review อีกครั้งหนึ่งจ้า
Review Diablo 2: Resurrected
ย้อนกลับไป 21 ปีก่อนนั้น ทางค่าย Blizzard ได้ก่อกำเนิดเกมภาคต่อเกมหนึ่งจากตัวเกม ก่อนที่ตัวเกมนั้นจะกลายเป็นหนึ่งในเกม Hack and Slash ที่โด่งดังเป็นอย่างมาก มีติดร้านเกมและเครื่องของหลายๆ คนในยุคสมัยนั้น กลายเป็นเกมที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่ก็รู้จักและชื่นชอบกัน และเป็นเป้าหมายที่หลายต่อหลายเกมอยากจะโค่นล้มลงให้ได้ ใช่แล้ว มันคือ Diablo 2 หรือในชื่อภาษาไทยว่า ล่าเจ้าอสูร นั่นเอง
ด้วยความโด่งดังนี่เอง ทำให้ทาง Blizzard ใช้เวลานานมากกว่าที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำการ Remake มันดีหรือไม่ เพราะการที่ทำพลาดลงไป อาจจะหมายถึงการดับความฝันของเกมเมอร์รุ่นเก่าๆ ไปโดยสมบูรณ์ได้เลยทีเดียว แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะชุบชีวิตมันขึ้นมาในชื่อของ Diablo 2: Resurrected และก็บอกได้เลยว่า การที่พวกเขาตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ได้เป็นความคิดที่ผิดเลย เจ้าอสูรเดียโบลได้กลับขึ้นมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและงดงามมาก
ทาง Blizzard ได้นำบทเรียนที่ผ่านมา และเลือกที่จะไม่ปรับหรือยุ่งเกี่ยวกับการเล่นของเดิมเลย มีเพียงแค่การปรับแต่งงานภาพ เสียง รวมไปถึงเพิ่มระบบอำนวยความสะดวกที่ไม่ส่งผลกระทบกับตัวเกมของเดิมมากนักเข้าไป ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารออย่างแท้จริงได้แล้ว
ตำนานแห่งเจ้าอสูรที่คืนกลับแบบบลูเรย์
อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ตัว Diablo 2: Resurrected เป็นการชุบชีวิตตัวเกมกลับมาโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับตัวเกมเดิมมากนัก ทำให้เนื้อเรื่องของ Diablo 2 นั้นยังคงเป็นเหมือนเดิมทุกประการ และในสมัยอดีตนั้น เนื้อเรื่องของ Diablo 2 ก็มีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ และน่าติดตามสำหรับเกมในสมัยเมื่อยี่สิบปีก่อนอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเราจะสรุปสั้นๆ ได้ว่า เจ้าอสูรโผล่ ผู้กล้าพยายามหาทางกำจัด จบเย้ ได้แบบนั้นก็ตาม (แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยถูกนะเอ้อ ฮา)
การเล่าเรื่องของ Diablo 2 นั้นจะเล่าผ่าน Cinematic เริ่มต้น Act (หรือด่าน) ตามด้วยเนื้อหาการเล่นตัวเกมของเพื่อนๆ ที่จะได้คุยกับ NPC และติดตามเรื่องผ่านบทพูดของพวกเขา ที่แม้จะไม่มีคัทซีนระหว่างการเล่นในด่าน แต่ก็มีเสียงพากย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละตัวที่น่าจดจำ เมื่อจบในแต่ละด่านก็จะนำพาตัวละครของเราไปสู่ด่านใหม่ Cinematic ใหม่พร้อมๆ กัน
No!! Don’t do it!
การเล่าเรื่องราวของตัว Cinematic นั้นก็เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่น้อย โดยเป็นการเล่าจากปากคำของชายผู้หนึ่งที่หลบหนีจากความหวาดกลัวของสิ่งที่เขาได้เจอ เขาที่กำลังสิ้นหวังในความผิดพลาดที่ได้ทำลงไปอย่างถึงที่สุด ได้พยายามเล่าและสารภาพบาปกับชายที่เขาเห็นเป็นเทวดาที่ปกป้องผนึกอันเลวร้ายเอาไว้ เพื่ออย่างน้อยที่สุดจะได้ชดใช้ความผิดที่นำพาความสูญสิ้นมาสู่โลกใบนี้
ซึ่งในภาค Resurrected นี้ งานภาพของตัว Cinematic ก็ได้รับการอัพเกรดมาอย่างทรงพลังจนสวยงามกว่าเดิมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยที่การดำเนินไปของการเล่าเื่องและฉากต่างๆ นั้นก็ยังคงเดิม ดั่งเทปวีดีโอกลายเป็นบลูเรย์
คืนชีพสมัยนี้มันต้องแฟบูลัส
จะบอกว่าแค่คืนชีพมาเฉยๆ ทำให้หน้าจอรองรับขนาด 1600 ขึ้นไปโดยภาพแบบเดิมก็คงไม่น่าเรียกว่าเป็นการชุบชีวิตไม่ถูกนัก ทางทีมงาน Blizzard ได้ใส่ใจในส่วนนี้ก่อนจะยกระดับงานภาพทั้งหมดขึ้นมาใหม่กันเลยทีเดียวก็ว่าได้ เพื่อให้เหล่าเกมเมอร์ในอดีตได้อ้าปากค้าง ชนิดว่าเกมเมอร์สมัยใหม่ไม่ว้าวยังพอรับได้ แต่คนที่เคยเล่นต้องเอาให้กรี๊ดบ้านแตกไปเลย
ในด้านแสงสีนั้น มีการเล่นโทนอย่างสวยงามไม่ได้เป็นการไฮไลท์ขึ้นมาเป็นช่องๆ เหมือนสมัยอดีตแล้ว เงาเป็นเงา แสงเป็นแสง ตัว Effect ต่างๆ ก็มีความสวยงามสมจริงขึ้นอย่างมาก สภาพของพื้นที่ต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นภาพแตกๆ แต่ยกระดับเป็นภาพที่เรียบเนียนสวยงาม แผนที่ที่เคยเป็นทะเลทรายซ้ำๆ เมื่อเปลี่ยนโซนก็มีความแตกต่างมากขึ้น จนบางทีของบางอย่างก็แยกออกจากฉากยากเหมือนกันเพราะเหมือนจริงเกิ้น (ฮา)
แต่สิ่งที่ต้องชมเชยทีมงานสุดๆ เลยคืองานอนิเมชั่นของทั้งตัวละครและมอนสเตอร์ที่เราจะได้เจอ จากท่าทางขยับที่เคยดูดีในอดีตแต่อาจจะดูตลกๆ ขัดๆ ในปัจจุบัน เมื่อเป็น Resurrected นั้น ได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดที่เด่นที่สุดคือเหล่ามอนสเตอร์ที่เป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีท่าทางที่ดูเป็นสัตว์มากขึ้นอย่างชัดเจน ดูมีความแตกต่างกันในแต่ละตัว ไม่ได้มีสองขาก็ก้าวๆ แบบเดียวกันแล้ว เรียกได้ว่าในส่วนของงานภาพ เอาใจไปเลย
เล่นแบบเดิม เพิ่มเติมความสะดวกบางอย่าง
เมื่อทาง Blizzard ตั้งใจที่จะทำให้ตัวเกม Diablo 2: Resurrected เป็นเหมือนกับต้นฉบับมากที่สุด ทำให้เกมเพลย์ต่างๆ ยังเป็นเหมือนสมัยอดีต ไม่มีการปรับแก้ ใส่อะไรมาเพิ่ม เช่นปรับให้สกิลนั้นแรงขึ้น สกิลนี้เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ๆ มันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสวยขึ้นยังไงอย่างนั้นเลยก็ว่าได้
นั่นอาจจะเป็นผลดีก็เป็นได้ หากดูจากกรณีของ Warcraft 3 Reforge ก่อนหน้า ทำให้ในสายตาของหลายๆ คนนั้น พบว่าตัว Resurrected นั้นจัดว่าสามผ่าน แม้จะมีการเรียกร้องถึงการขอให้ปรับบางอย่างบ้างก็ตาม โดยเฉพาะเหล่าผู้เล่นที่พึ่งเคยได้สัมผัสกับ Diablo 2 เป็นครั้งแรก (เช่น การขอให้มีการปรับระบบ Loot Item ใหม่)
แน่นอนว่าก็ไม่ได้มีแค่ของเดิมเท่านั้น การใส่อัพเดทบางอย่างที่ส่งผลกับการเล่นน้อยมากแต่ช่วยเหลือผู้เล่นได้ดี เช่นระบบเก็บทองที่พื้นอัตโนมัติที่ช่วยคนเล่นได้ดี หรือเพิ่มแถมของตู้เก็บของสำหรับแชร์ไอเทมให้กับตัวละครอื่นที่ไม่ได้เล่นในแบบ Ladder (จัดอันดับ) ได้ ก็ลดภาระในการบริหารจัดการช่องเก็บของของตัวละครได้อีก (ผู้เขียนยังจำได้ว่าต้องสร้างตัวละครมาเก็บของดีๆ เยอะมาก) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ถึงกับสะดวกสุดๆ แต่ก็ช่วยได้เยอะมากเลยล่ะ
ในส่วนของบัคหลายอย่างก็เหมือนจะถูกแก้ไขลงไปด้วย เช่น Andy Bug (ไม่น้า ฮา) ซึ่งคราวนี้คงต้องดูว่าบัคหลายๆ อย่างที่เป็นหนามยอดอกของหลายคนจะถูกกำจัดกันไปด้วยไหมในเวอร์ชั่นนี้ (โดยเฉพาะไอ้เจ้า Plague Javalin เนี่ย)
พิธีกรรมยังไม่สมบูรณ์
แน่นอนว่าไม่มีอะไรเสกขึ้นมาได้เปล่า แม้แต่การ Gramble ให้เงิน 2 ล้านเหลือแค่ 2 หมื่นโดยไม่ได้อะไรกลับมาก็เป็นสัจธรรมแห่งเกมนี้ ใน Diablo 2: Resurrection เองก็ต้องบอกว่าในช่วง Beta นี้เป็นช่วงที่ได้เห็นถึงการ optimize ตัวเกมที่น่าจะยังไม่ดีเพียงพอ โดยในด้านของตัว RAM นั้นค่อนข้างดีดไปถึง 5gb ได้ชิวๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เรียกว่าค่อนข้างโหดอยู่ รวมถึงเมื่อเปิดเกมทิ้งไว้นานๆ จะเกิดอาการเฟรมตกอย่างรุนแรงอีกด้วย
ในด้านของตัวแผนที่ในเกม (Mini Map) เองก็มองตัวทางขึ้นลงเปลี่ยนโซนได้ยากขึ้นเป็นอย่างมากในบางพื้นที่ ซึ่งตามปกติเราจะเห็นชัดตั้งแต่ไก่โห่จากในแผนที่เลยว่า อ๊ะนั่นจุดที่เราต้องไปโซนต่อไปนะ รวมถึงบัคการแสดงผลบางอย่าง เช่นประตูสุสานใน Act 2 ที่บางทีเปิดหรือปิดอยู่ก็ดูไม่ออก เพราะพี่แกปิดแต่เดินผ่านได้ซะงั้นก็ยังคงอยู่
แน่นอนว่ามันเป็นการทำเกมขึ้นมาให้เหมือนเดิม เพราะงั้นบัคใหม่ๆ ก็ย่อมจะมี เช่นการที่สกิลอย่าง Holy Freeze ไม่สามารถทำให้ศัตรู (หรือคนเล่นถ้าศัตรูใช้) ติดสถานะแช่เย็น (Chill) ได้ เรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบที่แท้ทรูกันเลยทีเดียว และถ้าเกมเต็มออกมาบัคสกิลแบบนี้อยู่ล่ะ สนุกแน่นอนพายุหิมะของเรา
จุดที่น่ากังขามากที่สุดก็คงไม่พ้นการที่ตัวเกมได้ตัดสินใจนำระบบการเล่นแบบ Multiplayer ส่วนของ TCP/IP ออกไปบังคับให้ใช้ตัว Server เพียงอย่างเดียว โดยให้เหตุผลเรื่องทางด้านของความปลอดภัย แต่ก็อาจจะเป็นจุดที่เสี่ยงมากในการเดินเกมของ Blizzard ก็เป็นได้ เนื่องจากการเล่นแบบ TCP/IP ของ Diablo 2 นั้นจะทำให้เราสามารถเล่นกับเผื่อด้วยกันผ่านทางระบบ IP โดยไม่ต้องพึ่ง Server / Gateway ใดๆ ได้ ก็อาจจะต้องดูกันว่าจะมีการนำกลับมาในภายหลัง หรือจะมีมาตราการรองรับอะไรอยู่ล่ะนะ
สรุป Diablo 2: Resurrection
โดยภาพรวมนั้น ถ้าไม่นับความแลคในตอนนี้ของเกมที่เล่นได้แค่ใน Server ที่จำกัด หรือบัคของสกิลที่ยังไงก็ต้องโดนแก้ ตัวเกม Diablo 2: Resurrection จัดว่าเป็นการคืนชีพที่น่าชื่นชม ทุกอย่างทุกทำมาเพื่อให้เกมเมอร์ที่เคยได้สัมผัสเกมนี้ได้กรีดร้องโดยแท้ มันดูว้าว มันดูดี พร้อมกับรูปแบบการเล่นเดิมแต่เสริมลูกเล่นอำนวยความสะดวกเล็กน้อยให้
เกมเมอร์ปัจจุบันที่มาสัมผัสกับ Diablo 2 เป็นครั้งแรก อาจจะรู้สึกถึงเกมเพลย์ที่ค่อนข้างตกยุคสมัยกันไปแล้ว แต่ด้วยงานภาพและเกมเพลย์ที่ถึงจะตกยุค แต่ก็เรียบง่ายในแบบที่ควร มีความท้าทาย มีเนื้อหาเชิงลึกให้ได้เข้าไปค้นหาแล้ว ก็ถือว่าน่าจะสามารถสนุก หรือเข้าถึงตัวเกมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แม้ว่าจะมีจุดที่น่าติดใจอย่างการนำออกของตัวระบบ TCP/IP แต่ถ้าทางทีมงานสามารถหามาตราการมารองรับได้ ก็อาจจะทำให้เหล่าผู้เล่นพอจะวางใจได้บ้าง ซึ่งในช่วงเวลาที่เหล่าบริษัท AAA ใหญ่เริ่มล้มพลาดกันบ่อยๆ แล้ว การเดินหมากของ Diablo 2: Resurrection อาจจะทำให้เกิดการดึงภาพลักษณ์หรือไม่ก็เป็นการล้มโครมยักษ์ก็เป็นได้
▲ จุดเด่น
- คืนชีพเจ้าอสูรที่แท้ทรู งานภาพงดงามขึ้นในทุกส่วน แสง เงา อนิเมชั่น จัดมาครบครัน
- คงรูปแบบการเล่นไว้เหมือนเดิมเป๊ะ
- ในที่สุดก็มีการแก้บัคที่ค้างมากว่า 10-20 ปีซักที (ฮา)
- เพิ่มการอำนวยความสะดวกเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเล่นตัวเกมหลักเลย
▼ จุดด้อย
- การ Optimize ที่ยังทำได้ไม่สุดเท่าไหร่นัก ตัวเกมกินทรัพยากรได้ดุมากเลยทีเดียว
- การนำระบบเล่นแบบ TCP/IP ออกทำให้ต้องพึ่ง Server อย่างเดียว น่าจะสร้างข้อกังขาได้อย่างแรงเลยล่ะ
- บางอย่างก็ดูกลืนกันเกินไปหน่อยกับฉากจากความสมจริงจัด (ฮา) รวมถึง mini map ที่ดูทางไปโซนต่อไปลำบาก