ตามความเป็นจริงแล้ว Masquerada: Songs and Shadows เป็นเกมอินดี้แนว Tactical RPG ที่วางจำหน่ายออกมาบนแพลตฟอร์ม PS4, Xbox One และ PC (Steam) ตั้งแต่ปี 2016 โดยบน Steam มันได้รับบทวิจารณ์ที่ดีมากๆ และด้วยราคาไม่ถึง 300 บาท ความคุ้มค่าของตัวเกมจึงดูสูงกว่าเกมอื่นๆ ในแนวเดียวกันพอสมควร และด้วยความที่ตัวเกมได้ถูกพอร์ตมาลงบนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา วันนี้ผมจึงไม่ขอพลาดที่จะหยิบตัวเกมมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน
เกี่ยวกับตัวเกม
Masquerada: Songs and Shadows เป็นเกมแนว Tactical RPG รูปแบบ Single-Player จากค่าย Ysbryd Games และทีมผู้พัฒนา Witching Hour Studios ตัวเกมใช้กราฟฟิกสไตล์การ์ตูนแบบวาดมือ ให้กลิ่นอายออกไปทางฝรั่งเศส ตัวเกมสร้างโลกโดยได้รับแรงบรรดาลใจมาจากช่วงยุคเรเนซองค์ ซึ่งมีทั้งเวทมนต์ สัตว์ประหลาด การเมือง ราชวงศ์ ศาสนา และสงครามกลางเมืองเป็นองค์ประกอบหลัก
เรื่องราวใน Masquerada: Songs and Shadows จะให้เราได้รับบทเป็นพนักงานสืบสวน Cicero Gavar ผู้ถูกเนรเทศจากรัฐ เพราะการต่อต้านเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนี้เขาได้ถูกเรียกกลับไปยังเมือง Ombre อีกครั้ง เพื่อสืบคดีการลักพาตัวนักการทูต และนั่นทำให้เราพบเงื่อนงำหลายๆ อย่างที่ทำให้เราต้องสงสัยเหล่าตัวละครรอบกาย และต้องสืบคดีลึกลงไปภายใต้เงามืดของ Mascherines หน้ากากที่จะมอบพลังพิเศษให้แก่ผู้สวมใส่ ซึ่งตกทอดมาจากวิทยาการในอดีตกาล เพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถใช้เวทมนตร์อันทรงพลังออกมาได้
ระบบการเล่น
Masquerada: Songs and Shadows เป็นเกมที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนในการเล่นมากๆ ดังนั้นตัวเกมจึงมาพร้อมโหมดฝึกสอนตั้งแต่เริ่มเกม โดยเราจะโดนบังคับให้เข้าเล่นในโหมดฝึกสอนก่อน แล้วจึงจะดำเนินเรื่องราวหลักในตัวเกมได้ ทั้งนี้ในโหมดฝึกสอนจะสอนการเล่นแก่เราในขั้นพื้นฐานเท่านั้น แล้วจึงจะจับเรามาสอนระบบอื่นๆ ต่อในตัวเกมหลัก โดยตัวเกมจะล็อคหลายๆ ระบบเอาไว้ แล้วจึงจะปลดล็อคระบบต่างๆ ไปตามเนื้อเรื่องที่เราเล่นไปถึง ซึ่งนั่นทำให้การเล่นตัวเกมช่วงต้นให้ความรู้สึกว่ามันเกริ่นนานไปเสียหน่อย โดยขนาดที่ผมเล่นแบบสคริปเนื้อเรื่อง หรือบทพูดภายในตัวเกมแล้ว ตัวเกมยังดำเนินเรื่องเราไปเกือบชั่วโมงถึงจะปลดระบบ และเข้าถึงระบบการเล่นต่างๆ ได้จนครบ
ระบบต่อสู้ของเกมเกมนี้จะมาในมุมมองแบบไอโซเมตริกล็อคมุมกล้อง ทำให้เวลาในการต่อสู้เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมกล้องใดๆ ได้ แต่นั่นทำให้ระบบต่อสู้ของเกมเกมนี้เป็นจุดแข็งหลัก ตัวเกมมาในรูปแบบการต่อสู้แบบ Real-time โดยเราจะเป็นคนออกคำสั่งต่างๆ ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ต้องโจมตี ใช้สกิล หรือสถานะการต่อสู้ในขณะนั้น ตัวเกมยังเปิดโอกาสให้เราควบคุมตัวละครได้พร้อมกันมากถึง 3 ตัวละคร นั่นทำให้การควบคุมแบบ Real-time เป็นอะไรที่ยากมากๆ หากเราไม่ชำนาญพอ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะตัวเกมมาพร้อมกับระบบ Pause ที่ทำให้เราสั่งการแต่ละตัวละครไปตามลำดับได้ !!
ระบบ Pause ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของเกมเกมนี้เลยก็ว่าได้ หากใครที่เคยเล่นเกม Dragon Age มาก่อน คุณน่าจะคุ้ยเคยกับระบบนี้ดี เพราะระบบนี้จะให้เราทำการหยุดเกม แล้วทำการลำดับคำสั่งให้แก่แต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมาย การใช้สกิล การเคลื่อนที่ อีกทั้งเรายังสามารถสั่งการตัวละครพร้อมกันได้ทั้ง 3 ตัวละคร แต่เมื่อใดที่เรายกเลิก Pause ตัวละครของเราทั้งหมดก็จะทำตามคำสั่งที่เราสั่งไว้ไปตามลำดับ ซึ่งระบบ Pause นี้เปิดโอกาสให้เราสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา จะในเวลาไหนก็ได้
อีกหนึ่งระบบที่เป็นหัวใจสำคัญของการต่อสู้ในเกมเกมนี้เลยก็คือระบบสกิล และระบบหน้ากาก ตัวละครแต่ละตัวสามารถสลับหน้ากากที่ใส่อยู่ได้ โดยหน้ากากแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งการเลือกหน้ากากมีผลเป็นอย่างมากตามสกิลที่เราติดตั้งเอาไว้ ในแง่ของระบบสกิล ตัวละครหนึ่งตนสามารถเซ็ตสกิลได้ทั้งหมด 4 สกิล โดยสกิลในเกมนี้จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ธาตุ ก็คือ ไฟ น้ำ ดิน และลม แน่นอนว่าแต่ละธาตุล้วนมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน และในแต่ละธาตุก็จะแตกสกิลออกมาอีกหลายสกิล โดยสกิลแต่ละสกิลสามารถอัปเกรดโดยเพิ่มความสามารถได้อีก 3 ระดับ กล่าวได้ว่าระบบสกิลของเกมเกมนี้เป็นอะไรที่ซับซ้อน และต้องทำความเข้าใจกับมันพอสมควร
ความลึกของระบบสกิลยังไม่หมดเท่านั้น ตัวเกมยังมาพร้อมกับระบบคอมโบสกิล ที่เมื่อใช้สกิลบางอย่างใส่ศัตรูแล้ว จะมีสิ่งที่เรียกว่า Element Tag ติดที่ตัวศัตรู และเราสามารถใช้สกิลอื่นๆ ต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลเพิ่มเติมหากมี Element Tag ตามที่ระบุไว้ในสกิลนั้นๆ ต่อได้ อย่างไรก็ตามด้วยความซับซ้อนของระบบสกิล ตัวเกมมาพร้อมกับระบบการตั้งค่า AI ที่เราสามารถตั้งเงื่อนไขการใช้สกิลออกมาได้โดยอัตโนมัติ เช่น หากมี Element Tag ติดที่เป้าหมาย ตัวละครจะใช้สกิลที่กำหนดออกมาให้ในทันที เป็นต้น ซึ่งก็ถือเป็นระบบที่ดีที่ส่วยลดการสั่งการของเราลง แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่เราไม่สามารถควบคุมการใช้ Mana ในแต่ละตัวละครได้เท่านั้นเอง
ในด้านอื่นๆ ตัวเกมมีระบบการเล่าเรื่องซึ่งผสานไปกับฉากคัทซีน ตัวเกมจะดำเนินคัทซีนในตัวเกม ผสานไปกับคัทซีนภาพแบบ 2D ที่เปิดสลับไปมา ซึ่งถือให้อารมณ์ที่ดี และเล่าเรื่องราวของตัวเกมได้ถึงอารมณ์มากๆ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของตัวเกมจะดำเนินไปแบบเป็นเส้นตรง โดยเราจะไม่สามารถพูดคุยกับ NPC ที่อยู่ในฉากพร่ำเพรื่อได้ แต่เวลาเราเดินผ่านพวกเขา พวกเขาจะมีการพูดคุย โดยแสดงออกมาเป็นข้อความให้เราได้อ่านอยู่เสมอๆ เพียงแต่ว่ามันจะปรากฎออกมาเพียงครั้งเดียว และนั่นทำให้เราต้องรีบอ่านมัน ข้อดีของระบบนี้คือสร้างความเป็นธรรมชาติของฉากภายในเกม ที่ NPC แต่ละตัวจะดำเนินชีวิตในแต่ละวันเป็นไปตามธรรมชาติ มีการพูดคุยกัน และเดินกันไปมา
ตัวเกมยังมาพร้อมระบบเก็บเรื่องราว ที่เราสามารถกดเข้าไปอ่านเรื่องราวของแต่ละตัวละคร หรือตำนาน เรื่องเล่าที่เราได้ยินในเกมเพิ่มเติมได้ นอกจากนั้นยังมีระบบจดโน๊ตเงื่อนไข ซึ่งเป็นเหมือนตัวจดบันทึกการสืบคดีของเรา ให้เราได้ทวนความทรงจำได้อีกด้วย
ตัวเกมบนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch
บนแพลตฟอร์ม Nintendo Switch ตัวเกมมีเฟรมเรตตกอยู่บ้าง โดยเฉพาะในฉากที่มีน้ำ ตัวเกมใช้การควบคุมเหมือนกับบนแพลตฟอร์ม PS4 และ Xbox One ที่ใช้จอยในการควบคุมเป็นหลัก ข้อดีของการเล่นบน Switch ก็คือการถือตัวเกมไปเล่นที่ไหนก็ได้ในโหมด Handheld และการควบคุมที่เราสามารถทัชสกรีนไปบนหน้าจอได้เลย เพราะมีหลายครั้งทีเดียวในหน้าจออินเตอร์เฟส ที่เราต้องปรับค่าต่างโดยการกดปุ่มรัวๆ เพื่อเลือกรายการ หรือเพิ่มค่าตัวเลขบางอย่าง (กดค้างไม่ได้) การทัชสกรีนจึงมาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ดีทีเดียว