PC Game Review

รวมรีวิวเกม PC ต่างๆ ที่น่าสนใจ

Review Borderlands 2 cover myplaypost

Borderlands 2 หลายๆ คนน่าจะชอบเกมแนว RPG ที่ตัวละครมีการเติบโต สามารถเพิ่มค่า Status ให้กับตัวละครได้หรือ Up Skill ต่างๆ ให้เก่งขึ้นได้ และโดยปกติเรามักจะเห็นเกม RPG ในแนวของเนื้อเรื่องและภาษาอย่าง Dragon Quest ไม่ก็แนว Hack and Slash อย่าง Diablo กัน แต่ในครั้งนี้เราจะได้เจอกับ RPG ในแบบ FPS ที่หาได้ค่อนข้างยากอยู่อย่าง Borderlands 2 และที่สำมะคัญคือการรองรับการเล่นแบบ Co-op กันได้เต็มที่ Steam : Borderlands 2 Review Borderlands 2 ตัว Borderlands 2 ก็เป็นผลงานต่อเนื่องจากภาคแรกของทาง Gearbox Software และ 2K ออกมาเป็นเกมแนว FPS RPG Co-op บนดาวที่ชื่อว่า Pandora ที่เต็มไปด้วยความบ้าบอ ป่าเถื่อน และของให้หามาใช้งาน ตัวเกมนั้นมีลักษณะเป็นเกมยิงแบบ FPS (มุมมองบุคคลที่หนึ่ง) ผสมกับแนว RPG ที่ผู้เล่นเก็บ Level และ Up Skill ของตัวละคร และระบบ Loot Table เหมือนในเกม Hack & Slash ที่เราต้องตีมอนหาของดีๆ มาใช้ได้อย่างลงตัว ตัวเกมนั้นมีการพัฒนาจากภาค 1 ในหลายๆด้านอย่างเห็นได้ชัดมากจนถึงขนาดกวาดคะแนน review กันไปอย่างล้นหลามแม้ว่าจะมี bug หรืออะไรบางอย่างขัดใจอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็ไม่ได้ทำให้มูลค่าความแจ่มของตัวเกมลดลงเลย   บ้าบอไปกับเรื่องราวของชาว Pandora เนื้อเรื่องและเควสใน Borderlands นั้นก็จะมีทั้งเนื้อเรื่องหลักที่เป็นแบบสีเทา มีตัวร้ายและตัวเอกที่ต่างก็ทำตามเป้าหมายของตัวเองโดยไม่สนใจอีกฝ่ายว่าจะเป็นอย่างไร และเนื้อเรื่องเสริมที่บางครั้งก็เฮฮา ไม่เกี่ยวอะไรเลย หรือบางครั้งก็เป็นเควสที่ต่อเนื่องมาจากเนื้อเรื่องหลักหลายๆ อารมณ์ปะปนกันมา ให้ผู้เล่นได้เข้าถึงชีวิตของผู้คนบน Pandora ที่มีวิธีและกระบวนการคิดที่ไม่เหมือนกับเรา และทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตของตัวเองกันเต็มที่ เนื้อเรื่องของตัวเกมนั้นก็จะเล่าถึงนักล่าสมบัติที่เข้าร่วมคำชวนของ Handsome Jack ในการตามล่าสมบัติ (Vault) แต่กลับถูกหักหลังมันตั้งแต่เกมยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ การล้างแค้นและช่วงชิง Vault มาเป็นของตัวเองจาก Jack ผู้มีทั้งอำนาจและกองทัพหุ่นยนต์หนุนหลังจึงเริ่มขึ้น แม้พล๊อทจะดูงั้นๆ แต่ตัวเกมก็มีการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อุปนิสัยใจคอของตัวละครแต่ละตัวก็มีจุดเด่นของตัวเองไม่ซ้ำหรือเป็นแนวฮีโร่จ๋าจนเกินไป รวมถึงมุกที่คอยแทรกมาตลอดทำให้เราก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไอ้บ้าจ๋ามากกว่าร่ำไป เพราะอะไรๆ มันก็สามารถโยนไปอีกทิศหนึ่งได้เสมอจนได้คิดว่า อะไรจะเกิดก็เกิดเถอะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เละเทะจนรู้สึกว่าไม่น่าเสียเวลาตามต่อ เก็บเลเวล ยิงมอน และฟาร์มของ ตัวระบบการเล่นของเกมจะเป็นการผสม RPG Hack & Slash เข้ากับเกมแนว FPS ได้อย่างลงตัว ผู้เล่นจะมีความรู้สึกว่าได้ตามหาของมาใช้ ได้ลุ้นของที่หล่นมาว่าจะโอเคไหม ได้เลือก Skill หรือเก็บ Level ได้ทำ Quest และได้ยิงหัวศัตรูแบบเกม FPS กันครบไม่มีขาดตกกันเลย ตัวละครแต่ละตัวเองก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนไม่ซ้ำซากจำเจ อาวุธก็มีหลายแบบให้ได้เลือกใช้ให้เข้ากับแนวการเล่นหรือตัวละครแต่ละตัวที่ถนัดของแตกต่างกันไป จุดที่ออกจะเป็นข้อด้อยก็คงจะเป็นตัวอาวุธที่ได้มาจะมีเลเวลของมันเองตามหลัก RPG ทำให้เมื่อเลเวลของเราและศัตรูสูงขึ้น เราจะถูกบังคับให้เปลี่ยนอาวุธชิ้นนั้นๆ เพราะมันเบาเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเลเวลสูงๆ ตัวเลขของพลังโจมตีจะโดดข้ามกันมาก และในระดับยากสุด (DLC) นั้น ก็จะมีการบีบบังคับให้ใช้ธาตุให้ตรงกับศัตรูเพื่อให้สู้ได้ง่ายขึ้น หรือจำกัดการ Build ตัวละครลงเหมือนกับเกมแนว Hack & Slash รุ่นพี่ตามๆ กันไป   คนเดียวหัวหาย สองคนช่วยกันตาย ส่วนของการ co-op นั้น ตัวเกมก็ทำออกมาได้น่าสนใจ โดยใช้เป็นระบบ drop-in แบบอิสระเต็มที่รอบรับผู้เล่นได้สูงสุด 4 คน ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเกมกับคนอื่นได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรอตั้งห้องหรือเล่นใหม่ตั้งแต่แรก แต่สามารถทำเควสต่างๆ ไปพร้อมกันได้ โดยตัวเกมจะอ้างอิงเควสจากเจ้าของห้องเกมนั้นๆ เป็นหลัก พร้อมกันนั้นตัวเกมจะเพิ่มความยากตามจำนวนผู้เล่นและไอเท็มที่ดรอปก็จะดีขึ้นตามกันไป หากเลเวลต่างกันมากก็จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบเพื่อป้องกันการเสียอรรถรสเวลาเล่น และหากผู้เล่นออกจากเกม ตัวเกมก็จะปรับความยากกลับในทันทีพร้อมกับบันทึกเควสที่ผ่านไปแล้วให้ด้วย แน่นอนว่าเมื่อตัวเกมเปิดให้เข้าออกได้อย่างอิสระเช่นนี้ การจะเล่นร่วมกับเพื่อนเพื่อรุมฆ่าบอส หรือจะแยกกันช่วยกันฟาร์มของและมาแลกเปลี่ยนกันทีหลังก็ทำได้อย่างอิสระเลยทีเดียว รวมถึงการแย่งของกันเองด้วย มุฮ่า   D-L-C เป็นจุดหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเกมนี้จริงๆ เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนที่เป็นระบบการเล่นอย่างการปลดล๊อค Level สูงสุดและความยากระดับสูงสุดนั้น จำเป็นจะต้องซื้อ DLC มาเสียก่อน (เห่อ) แต่ตัว DLC ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องแยกต่างหากนั้น ก็ทำมาได้ดีมากและคุ้มค่าสำหรับการซื้อมาเล่นไม่น้อย ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มไอเท็มให้ได้ล่าแล้ว ตัวเนื้อเรื่องของ DLC ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและเก็บรายละเอียดต่างๆ ให้สามารถพูดได้ว่าไม่ได้เผาส่งๆ มาขายให้รู้สึกเสียดายเงินซื้อมาเลย   สรุปการ Review Borderlands 2 จัดว่าเป็นเกมที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคอ RPG และ FPS ตัวเกมนั้นมีการแทรกมุกเป็นระยะๆ ให้เราได้เปลี่ยนบรรยากาศอยู่ตลอดเวลาประกอบกับความเป็นกลางของตัวละครต่างๆ ที่เราไม่อาจจะบอกได้ว่าผิด หรือถูกอย่างแน่นอน แผนที่และรายละเอียดต่างๆ ที่ถูกทำมาอย่างเอาใจใส่ทำให้ผู้เล่นสามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นโลกใบหนึ่งของเกมได้ดี ถ้าใครสนใจเกมแนวนี้ ลังเลว่าจะสอยดีไหม หมาก็ขอแนะนำว่าถ้ามันลดอยู่ก็สอยเถอะ ไม่ผิดหวังจริงๆ ตัวเกมสามารถเล่นได้ค่อนข้างนาน และสามารถเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ รับรองว่าคุ้มค่าเกินราคาแน่นอนแม้จะไม่ถอย DLC เสริมก็ตาม (ตัว DLC ก็คุ้มจริงๆ ถ้าสนใจจริงๆ แนะนำ version Game of the Year ไปเลยจ้า)   ▲ จุดเด่น - มีการพัฒนาจากภาค 1 ค่อนข้างมาก - เนื้อเรื่องของเกมและ NPC ทำออกมาได้ดี มีบุลลิคและนิสัยแตกต่างกันชัดเจน ไม่ไปในทางเดียวกันทั้งก๊ก - ระบบการเล่นแบบ FPS RPG ที่เหมาะกับคนชอบเล่น Hack & Slash - เล่นคนเดียวก็ได้ เล่นหลายคนก็ดี - มี Side Quest ให้ทำมากมายประกอบกับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้ผู้เล่นไม่ถูกจำกัดจนเกินไปในการเล่น - DLC ทำมาได้ดีและเป็นตัวเสริมจริงๆ ไม่ใช่ตัดเนื้อหาหลักไปลง DLC - CO-OP!!! ▼ จุดด้อย - ตัวเกมค่อนข้างเหมาะกับผู้เล่นที่เล่นแบบบ้าพลัง จากการที่ต้องปั่นหาอาวุธในระดับการเล่นที่ยากขึ้น (ไม่จำเป็นในระดับเริ่มต้น) - การโจมตีระยะประชิดของผู้เล่นที่ด้อยกว่าศัตรูมาก - ศัตรูในระดับสูงๆ นั้นถึกมาก รวมกับปืนที่ถ้าเลเวลต่ำกว่าจะทำความเสียหายได้ช้าลง ทำให้การฟาร์มปืนเหนื่อยเอาการมาก - ระบบการต่อสู้กับ Raid...

Read more
Review Borderlands the pre-sequel cover myplaypost

Borderlands The Pre-sequel ช่วงแนะนำเกมสไตล์ขา Co-op ในคราวนี้ก็จะมาพูดถึงเกมในเครือ 2K และ Gearbox Software เกมหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันในพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับดังปุ้งปั้ง กับ Borderland หรือแถกันว่าถิ่นชายแดน เกมแนว FPS ผสม RPG ที่มีเนื้อเรื่องในแบบสีเทาเป็นของตัวเอง เจ้าตัวเกมที่จะทำการพูดถึงในครั้งนี้ก็จะเป็นส่วนของภาคต่อ Borderlands The Pre-sequel นั่นเองจ้า Steam : Borderlands: The Pre-sequel Review Borderlands The pre-sequel ตัวเกม pre-sequel นั้น ทาง 2K Australia ที่เป็นสาขาย่อยได้เป็นผู้รับบทบาทในการจัดทำตัวเนื้อหาต่างๆ ของภาคนี้หลังจากที่ภาค 2 ทำหน้าที่ได้ดีและออกมาถูกอกถูกใจขา FPS RPG Co-op กันเป็นอย่างมาก ตัวเนื้อเรื่องของ pre-sequel นั้นก็จะเป็นดังชื่อเลย คือเป็นการเล่าไปถึงเนื้อหาก่อนที่จะเกิดเนื้อเรื่อง Borderlands ภาค 1 และ 2 ที่เราเล่นกันไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง หลักๆ แล้ว ตัวเกมนั้นแทบจะดึงเอาระบบต่างๆ ในภาค 2 รวมถึง Engine มาใช้ในการทำ การเล่นจึงแทบจะไม่ต่างกับสมัยการเล่นภาค 2 เลยก็ว่าได้ ก็ถือว่าเป็นจุดที่โดนเฉ่งและเป็นจุดที่เรียกว่าพอจะโอเคในระดับที่รับได้อยู่ ประกอบกับราคาของตัวเกมที่แพงกว่าภาค 2 เสียอีก ทำให้แฟนๆ เกมนี้แบ่งได้ชัดเป็นฝ่ายที่โอเคกับไม่โอเค (ฮา)   เนื้อเรื่อง ในด้านของเนื้อเรื่องภาคนี้นั้น จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงก่อนหน้าของภาค 1-2 อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้เล่นที่เล่นภาค 1-2 มาก่อนนั้นจะค่อนข้างเข้าถึงและสนุกกับเนื้อเรื่องได้มากกว่า โดยเฉพาะมุกต่างๆ บ้างก็ทำให้คนเล่นเก่าฮาออกมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้เล่นที่พึ่งเล่นมาจับภาคนี้จะไม่เข้าใจเลย ตัวเกมก็ยังอธิบายให้ผู้เล่นใหม่จับต้นชนปลายได้ง่าย รวมถึงการแสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของตัวละครอีกด้วย เนื้อเรื่องนั้นจะเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผู้เล่นได้ตอบรับคำขอของ Handsome Jack โปรแกรมเมอร์คนหนึ่งในบริษัท Hyperion ในการตามหา "Vault" หรือคลังสมบัติ/อาวุธโบราณและเป็นฮีโร่ไปด้วยกัน ในขณะเดียวกันทาง Hyperion ก็ได้ถูกกลุ่ม Lost Region โจมตีและต้องหนีตายไปยังดวงจันทร์ Elpis ก่อนจะหาทางกู้สถานการณ์กลับคืนมาเพื่อที่จะได้ตามหา Vault กันตามกำหนดการเดิม สิ่งที่น่าสนุกของเกมแนวภาคต่อแบบ RPG นั้นคือการที่เราจะได้เห็นการเปลี่ยนไปของตัวละครต่างๆ ที่เราเคยรู้จัก ซึ่งภาคนี้ก็จะแสดงให้เราได้เห็นการเปลี่ยนไปของ Jack หรือที่มาที่ไปและจุดกำเนิดของตัวละครที่เกี่ยวข้องต่างๆ กันได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว จุดที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งคือการที่บุคลิค การพูดน้ำเสียงต่างๆ ของเหล่า NPC นั้นอ่อนลงไปมาก เรียกได้ว่าสำเนียงนั้นแทบจะซ้ำกันไปหมด ตัวเนื้อหาของ Quest และตัว Side Quest ต่างๆ เองก็น้อยลงและค่อนข้างกร่อยเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่างภาค 2 ช้ำร้ายที่เจ็บที่สุดคือการที่เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เล่นได้เมื่อเทียบกับภาค 2 แล้วยังจะน้อยกว่าเสียอีกแม้จะคิดจากตัวเกมหลักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการนำเสนอเนื้อเรื่องถ้ามองกันอย่างแฟร์ๆ แล้วก็ยังถือว่าโอเค มีการเล่าและจับเรื่องที่ดีอยู่ พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของตัวละครหลักและเนื้อเรื่องได้โอเคเลยทีเดียว ตัวละครเองก็มีประโยคในการตอบรับกับเนื้อเรื่องเฉพาะของตัวเอง (แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบรับเฉพาะของแต่ละคนในเนื้อเรื่อง อันที่จริงบางส่วนก็น่าจะมีแยกเฉพาะให้ ไม่ต้องถึงกับทั้งหมดก็ได้)   ระบบในเกม ด้านของระบบในเกมนั้น แม้จะถอดแบบมาจากภาค 2 ครบทุกทวงท่า ไม่ว่าจะเป็นการเล่นพื้นฐาน ร้านขายของ ระบบ Quest หรือ ไอเท็มต่างๆ ในส่วนของผู้เล่นใหม่ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจซักนิด แต่โดยรวมนั้นตัวเกมยังคงมีความเป็น RPG ที่ให้ผู้เล่นได้เก็บ Level และ Up Skill เพิ่มความสามารถในตัวละคร การตามหาไอเท็ม ฟาร์มเอาจากศัตรูหรือซื้อจากในร้านเพื่อให้สู้ศัตรูได้ง่ายขึ้นนั้นยังอยู่ครบถ้วนในรูปแบบ FPS ที่ลงตัว แม้ว่าจะถอดแบบกันมา แต่หลายๆ ส่วนก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านของความเสียหายที่ผู้เล่นสามารถทำได้ผ่านทางสกิลที่ไม่ใช่อาวุธนั้น เรียกว่าดีขึ้นจนใช้การได้ การนำธาตุ Slag ที่เป็นตัวคูณความเสียหายเพิ่มออก ก็ช่วยในด้านการปรับให้เลือดของศัตรูช่วงท้ายเกมนั้นไม่เยอะจนบังคับให้ต้องติด Slag ก่อนอีกต่อไป ในภาคนี้เองก็เพิ่มธาตุน้ำแข็งเข้ามาแทน Slag ที่มีส่วนช่วยในการเล่นเป็นอย่างมาก (และไม่จำเป็นต้องใช้ก็เล่นได้สบายๆ) ตัวรถในเกมก็มีการเพิ่มชนิดของรถที่แตกต่างกันและให้ความอิสระกับผู้เล่นมากขึ้น รวมถึงเจ้า Grinder ที่สามารถใช้ในการสุ่มหาไอเท็มที่ดีกว่าเดิมได้จากการนำเอาไอเท็ม 3 ชิ้นมาย่อยทิ้งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ตัวเกมยังได้เพิ่มส่วนของสููญญากาศและแรงดึงดูดที่น้อยลงบนดวงจันทร์มา ทำให้การเล่นมีลูกเล่นมากขึ้นไปอีก ในส่วนของตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวที่เล่นได้ก็จะเป็นตัวละครใหม่ทั้งสิ้น และเป็นตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในภาค 1-2 เช่น Claptrap สุดแสบหรือ Wilhelm ที่ได้พบกันในภาค 2 ทำให้ผู้เล่นเก่าเองก็ได้เห็นลักษณะนิสัยแบบกว้างขึ้นของตัวละครนั้นในตัว พร้อมกับ Skill ของแต่ละคนที่แสดงความเป็นตัวละครนั้นได้ดีทีเดียว   DLC พูดถึง Borderlands แล้วจะขาด DLC นั้นคงไม่ใช่เรื่อง และสำหรับในเกมนี้นั้น DLC เจ็บๆ อย่างการเพิ่ม Level Cap ให้สูงขึ้นหรือเปิด Mode ระดับยากสุดเหนื่อยสุดให้เล่นก็อยู่ใน DLC ทั้งนั้น (แย่มาก!) แต่ก็จะมี DLC ที่เป็นเนื้อเรื่องเสริม เนื้อเรื่องบ้าบอคอแตกให้ผู้เล่นเข้าไปแจมเพลินได้อย่างคุ้มค่าที่จ่ายไปอยู่ ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าทางตัว 2K Australia ผู้พัฒนาภาค pre-sequel นั้นได้ปิดตัวลงแล้วเนื่องจากสู้ภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ทำให้ไม่มี DLC อะไรเพิ่มเติมอีกนอกจากที่มีก่อนปิดตัวลง DLC ชูโรงของภาคนี้ก็จะไม่พ้น Claptastic Voyage ที่ช่วยกู้หน้าให้อยู่ เจ้าตัว DLC ตัวนี้จะเป็นเนื้อเรื่องส่วนต่อจากเนื้อเรื่องหลัก (แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นก็ได้ ไม่ได้ส่งผลกับการเข้าใจเนื้อเรื่องเชื่อมต่อกันของแต่ละภาคขนาดนั้น) และมีความจัดเต็มเหมือนจะชดเชยที่ทำตัวเกมหลักไว้ไม่สุดมาก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเรื่องราวหรือการเพิ่มเติมไอเท็มอีกหลายๆ ส่วนที่ทำให้ตัวเกมดูสมบูรณ์ขึ้นมาก   สรุปการ Review Borderlands The Pre-sequel ถ้าจะว่ากันสั้นๆ แล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อสำหรับแฟนๆ Borderlands จะเหมาะกว่าการเริ่มเล่นเป็นภาคแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องและที่มาที่ไปของตัวละคร หากรู้มาก่อนจะทำให้สนุกมากขึ้น และถ้าไม่เกรงใจก็คงต้องบอกว่า ภาค 2 ค่อนข้างคุ้มกว่ามาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่คิดจะเริ่มเล่นเกมซีรี่ย์นี้ อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อเรื่องและเนื้อหาในการเล่นจะน้อยลง แต่ความสนุกกับตัวระบบของเกมกลับดีขึ้นและมีอิสระมากกว่า ทำให้รู้สึกว่ามีความแตกต่างและสนุกอยู่ในตัวภาคของมันเองอยู่ ▲ จุดเด่น - มีการปรับปรุงจากภาค 2 หลายๆส่วน - มีอิสระในการจัด Build การเล่นที่มากขึ้น - เนื้อหาที่เกี่ยวกับตัวละครในภาคก่อนๆ ทำให้แฟนๆ เล่นได้สนุก และทำมาให้ผู้เล่นใหม่ก็เล่นได้สนุกเช่นกัน - ความเป็น FPS RPG ที่ลงตัวยังมีอยู่ครบและดีขึ้น - ระบบสูญญากาศและแรงดึงดูดต่ำ เพิ่มความหลายหลากตอนเล่น - Co-OP! ▼ จุดด้อย - ผู้พัฒนาปิดตัวลงแล้ว...

Read more

เกมฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองในปีนี้เลยทีเดียวสำหรับเกม Tom Clancy's Ghost Recon: Wildlands เกมแนว Action Tactical Shooter จากทาง Ubisoft ที่จะพาเราโลดแล่นไปดินแดนอันยิ่งใหญ่ในประเทศโบลิเวีย ซึ่งตัวเกมได้วางจำหน่ายมาเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2017 ที่ผ่านมา โดยตัวผมเองนั้นก็รู้สึกสนใจเกมนี้มาตั้งแต่งาน E3 แล้ว และพอตัวเกมวางจำหน่ายผมเองก็รีบซื้อมาเล่นอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ตัวผมเองก็เล่นเกมนี้จบแล้วครับและผมก็จะมาพูดถึงระบบของตัวเกมคร่าวๆ และความรู้สึกหลังได้ไปสัมผัสมาว่ามันเป็นยังไง โดยทุกท่านสามารถรับอ่านรีวิวได้จากทางด้านล่างหรือสามารถรับชมคลิปรีวิวจากช่องของตัวกระผมก็ได้เช่นกันครับ Story โดยเนื้อเรื่องของเกมนี้เราจะได้รับบทเป็นหนึ่งในหน่วย Ghost ที่เรานั้นจะสามารถปรับแต่งหน้าตาของตัวละครได้ตามใจชอบ ซึ่งภารกิจของเรานั้นคือการล้มล้างขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของผู้มีอิทธิพลที่สุดในประเทศโบลีเวียนามว่า Santa Blanca และผู้ที่คอยควบคุมแก๊งค์นี้อยู่เบื้องบนก็คือชายที่ชื่อว่า El Sueno รวมถึงตัวเขาก็จะมีเครือข่ายมากมายที่คอยควบคุมประเทศนี้อยู่อย่างเช่นผู้ที่มีชื่อเสียง, บาทหลวง, DJ หรือจะเป็นพวกที่คอยขายและคอยผลิตยาเสพติดให้เป็นต้น ซึงแกนหลักของตัวเกมนั้นเราจะต้องคอยไปจัดการกับเครืือข่ายของแก๊งค์นี้ทีละคนๆ จนสาวตัวไปถึง Head หลักและบอสใหญ่อย่าง El Sueno Gameplay ซึ่งตัวระบบของเกมนี้เราจะได้อยู่ในแผนที่โลกเปิด แต่แผนที่ทั้งหมดก็จะมีการแบ่งโซนพื่นที่ไว้ ซึ่งแต่ละพื่นที่นั้นจะมีบอสหนึ่งคนคอยควบคุมอยู่ โดยหน้าที่ของเราคือการเข้าไปที่โซนๆ นั้นและก็เข้าไปทำเควสเพื่อที่จะไปจัดการกับบอสที่คุมอยู่ ซึ่งบอสแต่ละตัวนั้นจะมีภารกิจอยู่ราวๆ 5-6 ภารกิจ เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะเริ่มภารกิจเราจะต้องทำการเสาะหาข้อมูลจากพื้นที่ต่างๆ ในโซนนั้นก่อน ที่มันก็จะออกแนวๆ ว่าตัวเรานั้นก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรเลย โดยเราก็จะต้องไปทำการหาข้อมูลว่าตัวบอสนี้อยู่ที่ไหนแล้วจึงจะสามารถรับเควสหลักและเควสต่อไปได้ ซึ่งถ้าจะให้นับบอสเล็กทุกตัวจะมีอยู่ด้วยกันประมาณ 20 คน ตีเฉลี่ยไปคนละ 5-6 เควส และถ้าหากจะให้รับภารกิจที่เราจะต้องไปเสาะหาข้อมูลก่อนบวกกับภารกิจบอสใหญ่อีกเล็กน้อย เควสเนื้อเรื่องนั้นจะมีให้เราเล่นมากขึ้น 100 เควสเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าเควสหลักจะมีเควสเป็นร้อยๆ ให้ทำ ตัวเกมก็จะมีระบบสำหรับคนที่อยากจะจบตัวเกมไวๆ เช่นกันนั่นก็คือ ถ้าหากตัวเราสามารถจัดการกับ Head หลักของ El Sueno ได้สองคนเมื่อไร เราก็จะสามารถรับเควสเพื่อจัดการ El Sueno ได้ทันที เพียงแต่ว่าฉากจบของตัวเกมจะแตกต่างกันถ้าหากคุณทำเควสจนครบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น และถ้าจะให้พูดถึงระบบการเล่นของตัวเกมเนี่ยมันก็จะคล้ายๆ เกม The Division ที่เคยออกมาครับ แต่มันเป็นเกม Division ที่จะได้อารมณ์เหมือนเกม Farcry ซะงั้น คือวิธีการบังคับต่างๆ จะคล้ายๆ เกม Division เพียงแต่แนวทางการเล่นหรือการทำเควสจะคล้ายๆ Farcry เป็นต้น โดยเทคนิคการเล่นเนี่ยจะมีให้เราเลือกหลากหลายมากอย่างเช่นการเลือกประจัญหน้าเข้าไปเลยหรือจะเลือกแบบสเตลท์ก็ได้ ซึ่งมันก็จะมีอุปกรณ์ต่างๆ มาคอยช่วยเหลือเราอย่างเช่นโดรนหรือกล้องส่องทางไกลที่จะสามารถบอกตำแหน่งศัตรูได้ รวมถึงยานพาหนะต่่างๆ ที่จะมีให้เราเข้าไปขับเล่นมากมายอย่างรถ, เรือ, รถถังหรือเครื่องบินเป็นต้น ซึ่งตัวเกมเราจะสามารถ Co-op กับเพื่อนได้อีก 3 คน รวมเราเป็น 4 คน เพื่อทำภารกิจเนื้อเรื่องไปด้วยกันได้ หรือแม้แต่การค้นหาผู้เล่นอื่นๆ ในเซิฟเวอร์ก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าหากใครที่อยากจะเล่นเกมนี้คนเดียว ตัวเกมก็จะมีบอทมาคอยช่วยเหลือเรา ซึ่งต้องขอเลยว่าบอทนั้นจัดว่าเก่งพอสมควรเลยทีเดียว เพราะมันสามารถช่วยเรายิงได้เยอะมากแถมตายยากด้วย ซึ่งตัวบอทจะมีหน้าทีคอยชุปชีวิตเราถ้าหากเราโดนศัตรูยิงจนลงไปนอน เพราะว่า A.I. ในเกมนี้ต่อให้จะตายง่าย แต่มันก็แลกมากับการที่ตัวมันยิงแรงมาก ซึ่งบางทีถ้าหากคุณเล่นเกมในระดับยากๆ ตัวบอทอาจจะยิงคุณไม่กี่นัดคุณก็ลงไปนอนแล้ว แถมเรายังสามารถสั่งบอทให้เดินไปตามจุดที่ต้องการรวมถึงสั่งให้อยู่กับที่หรือยิงเลยก็ยังได้ และระบบที่โครตจะมีประโยชน์ที่สุดในการใช้บอทก็คือระบบ Sync Shot ที่ระบบนี้จะเป้นระบบในการให้สัญญา่นว่าเราจะยิงศัตรูตัวไหน ซึ่งถ้าหากเราเล่นกับเพื่อนมันจะเป็นการบ่งบอกสัญญานเพื่อที่จะไม่ทำให้เรายิงผิดตัว แต่ถ้าเราเอาระบบนี้มาใช้กับบอททีมเรามันจะโกงมากๆ เพราะนอกจากที่บอทมันจะช่วยเรายิงแล้วมัน มันยังยิงศัตรูได้เกือบทุกมุมเลยทีเดียว ( ถ้าหากศัตรูไม่หลบเข้าไปในอาคารซะก่อน ) รวมถึงตัวเกมยังมีกลุ่ม Rebel ที่จะคอยเป็นผู้สนับสนุนเราต้างๆ นาๆ อย่างเช่นการทิ้งมิซไซน์ลงตามจุดที่ต้องการ หรือการเรียกพรรคพวกมาช่วยเป็นต้น แต่ทาง Santa Blanca ก็ไม่น้อยหน้า เพราะว่าพวกเขานั้นก็มีกลุ่มที่ชื่อว่า Unidad ที่จะเป็นพวกกองกำลังติดอาวุธหนักมาคอยไล่ยิงเราเช่นกัน ต่อมาก็เป็นระบบอัพเกรดตัวละครซึ่งต้องขอบอกเลยว่าระบบนี้นั้นมีผลต่อตัวละครมากๆ ถ้าหากเราอยากจะให้ตัวละครเราเก่งขึ้นอย่างเช่นการหา Tag Supply เพื่อมาใช้ในการอัพสกิล หรือการหาอุปกรณ์แต่งปืน, ปืนใหม่ๆ รวมถึงสกิลต่างๆ เป็นต้น แต่เควสและโลเคชั่นต่างๆ ของสิ่งที่จะอัพเกรดมันก็ไม่ได้มีขึ้นมาง่ายๆ เพราะเราจะต้องไปทำการค้นหาข้อมูลตามแผนที่ว่าสิ่งต่างๆ อยู่ตรงไหน โดยการหาข้อมูลแต่ละครั้งมันก็จะมีให้เลือกว่าการหาข้อมูลครั้งนี้จะเลือกหาโลเคชั่นปืน, โลเคชั่น Tag Supply, โลเคชั่นแต้มสกิลหรือแม้กระทั่งโลเคชั่นการทำเควสอัพสกิลของ Rebel เป็นต้น Feeling ซึ่งผมก็ต้องขอบอกเลยว่าส่วนตัวผมเองนั้นชอบเกมแนวสเตลท์เป็นชีวิตจิตใจ และเกมนี้มันก็ทำแนวสเตลท์ออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าลูกเล่นต่างๆ ที่มีให้เล่นมันอาจจะน้อยไปหน่อย โดยตัวเกมเนี่ยมันพยายามทำให้เรานั้นเล่นเกมนี้นานๆ เพราะพวกระบบการอัพเกรดตัวละครที่เราจะต้องไปทำเควสเสริม แต่ส่วนตัวผมเองอยากจะเล่นเกมนี้แบบรีบเล่นรีบจบผมเคยไม่ค่อยสนใจกับการอัพเกรดตัวละครเท่าไร เพราะระบบนี้กว่าเราจะเก่งมันจะใช้เวลานานมากๆ ซึ่งตัวผมเองได้ใช้ปืนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นจนจบเกมก็สามารถเล่นเกมนี้จนผ่านได้ และก็ต้องขอบอกเลยว่าตัวเกมนี้เหมาะสำหรับการเล่นกับเพื่อนเป็นอย่างมาก เพราะว่าถ้าหากคุณเล่นคนเดียวแรกๆ มันก็สนุกดี แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ คุณก็จะเกิดอาการเหงาๆ เพราะว่าตัวเควสไม่ได้น่าดึงดูดเท่าไร รวมถึงเควสต่างๆ ก็จะคล้ายๆ กับไปหมดถึงแม้ว่าเควสมันจะมีมากกว่าร้อยเควสก็เถอะ แต่ถ้าหากคุณนั้นเล่นกับเพื่อนเมื่อไรความสนุกมันจะมาทันทีเพราะว่าเราจะสามารถทำอะไรสนุกๆ กับเพื่อนได้หรือจะทำภารกิจกับเพื่อนในระดับยากๆ และก็ไปหัวร้อนหรือโหวกเหวกโวยวายให้เพื่อนช่วยถ้าหากเราโดนศัตรูยิงจนนอน รวมถึงการนัดกับเพื่อนทำภารกิจแบบเซียนๆ โดยปราศจากการ Alert ก็ยังได้ คือเกมนี้เล่นกับเพื่อนจะสนุกกว่ามากเลยทีเดียว ส่วนตัวเนื้อเรื่องเนี่ยผมก็คิดว่ามันอ่อนไปหน่อยนะ ซึ่งตัวเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากการไปทำภารกิจจัดการบอสต่างๆ นาๆ รวมถึงตัวเกมจะมีคัดซีนเล็กๆ น้อยๆ ที่มันไม่ได้มีผลกระทบกับจิตใจอะไรมาก ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าถ้าหากใครที่อยากจะซื้อเกมนี้มาเพื่อเสพเนื้อเรื่องผมก็อยากให้คุณคิดใหม่ เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ได้มีอิมแพคพอที่จะทำให้คุณชอบเลย แต่ถ้าหากใครที่อยากจะซื้อเกมนี้มาเล่นกับเพื่อนหรือเน้นระบบเกมเพลย์ เกมนี้ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว แถมแผนที่ภายในเกมต่อให้มันเป็นแผนที่อันกว้างใหญ่ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกทำให้เราอยากที่จะเข้าไปวิ่งเล่นเท่าไร ซึ่งฉากภายในเกมไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก รวมถึงพื้นที่ต่างๆ เกือบทั้งหมดก็มักจะเป็นพื้นที่ของศัตรูทั้งสิ้น แถมพื้นที่ทั้งหมดยังเป็นแต่ป่าที่มันแทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลยซักนิด จุดเด่น-ด้อยของเกม ข้อดีของเกม • เป็นเกมที่มีระบบ Combat ที่สนุกอีกเกมอย่างเช่นกันยิงประจัญหน้าหรือการลอบเร้น • ตัวเกมมีเควสเยอะเหมาะสำหรับคนที่อยากจะหาเกมที่เล่นนานๆ ( เคลียทุกอย่างอาจจะใช้เวลาราวๆ 50 ชั่วโมง ขึ้นไป ) • ตัวเกมเล่นกับเพื่อนสนุกมาก เพราะเราจะได้ทำอะไรสนุกๆ กับเพื่อน ( ยิ่งเล่นมากคนยิ่งสนุกขึ้น ) ข้อเสียของเกม • ตัวเกมมีเนื้อเรื่องที่อ่อนมาก • ไม่เหมาะสำหรับการเล่นคนเดียว • บรรยากาศในเมืองไร้ชีวิตชีวา • เควสเยอะแต่ส่วนใหญ่เควสจะมีภารกิจที่คล้ายๆ กัน ๐ คะแนน 7/10

Read more

หากเพื่อนๆเคยเล่นเกม Harvest Moon Back to nature แล้วชอบล่ะก็ผมขอรับประกันเลยว่าจะต้องชอบเจ้าเกมนี้ด้วยอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเคยเล่นหรือไม่เคยมาก่อนก็ตามด้วยความสุดยอดของเจ้าเกมนี้ที่เติมเต็มสิ่งที่ขาดไปและสิ่งที่เราอยากให้มีในเกม Harvest Moon ในอดีตแต่มันไม่มีแทบจะทุกสิ่งที่เราต้องการได้มาปรากฎอยู่ในเกมนี้แล้ว เกมที่ได้แรงบรรดาลใจมาแต่ไม่ได้ลอก Stardew Valley นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยคนๆเดียว คือนาย Eric Barone ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 4 ปีโดยตัวเกมได้เคยติดอยู่ใน Greenlight ของสตรีมเมื่อนานมาแล้วโดยในปัจจุบันได้มีผู้จัดจำหน่ยคือ Chucklefish Games ซึ่งได้เปิดให้เราไปเป็นชาวไร่กันแล้วตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา เริ่มต้นใช้ชีวิตบ้านไร่ ตัวเอกหรือผู้เล่นนั้นเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่มีชีวิตอยู่อย่างซ้ำซากจำเจไปวันๆ จึงได้ตัดสินใจไปยังฟาร์มที่คุณปู่ทิ้งเอาไว้ให้เพื่อลองหาจุดหมายของชีวิตใหม่โดยตัวเกมจะให้เราพัฒนาฟาร์มแห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรือง โดยสิ่งที่ทำในเกมได้มีอยู่สารพัด อาทิเช่น ปลูกผัก, เลี้ยงสัตว์ ,ตกปลา ,ขุดเหมือง ,ลงดันเจี้ยน ฯลฯ เรียกได้ว่าเยอะจนเราเลือกทำไม่ถูกเลยทีเดียวโดยในหัวข้อต่อๆไปผมจะบอกว่าทำไมเกมนี้จึงเป็นเกมที่ควรค่าแก่การเล่นมากๆ     หน้าจอสร้างตัวละครภายในเกม ตัวเกมที่ใส่ใจแทบทุกรายละเอียด รายละเอียดต่างๆภายในเกมนั้นถูกออกแบบมาอย่างลงตัวมากๆ ภายในเกมแทบจะไม่มีของอะไรที่ใช้ไม่ได้เลยอย่างเช่น ขยะเราสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นสิ่งของอื่นๆได้ ต้นไม้ที่เราตัดอาจจะมีเมล็ดตกลงมาให้เราปลูก สภาพถูมิประเทศและอากาศในเกมมีความแตกต่างกันในจุดเล็กๆน้อยๆแม้จะเป็นฤดูเดียวกันอย่างเช่นบางช่วงของดือนจะมีผลไม้พิเศษ หรือมีพายุกลีบดอกไม้ในฉาก เป็นต้น การทำความรู้จักกับคนในหมู่บ้านที่เราจะสักให้แต่ของไม่ได้ บางครั้งการช่วยทำเควสเล็กๆน้อยๆ ก็เป็นการเพิ่มคะแนนมิตรภาพที่ดี ภายในเกมเราสามารถจีบเพศเดียวกันได้ด้วย! มีระบบเควสซึ่งเราสามารถทำเพื่อรับรางวัลต่างๆได้ ระบบการเล่นที่ผสมกับเกม RPG ความสามารถของเรในแต่ละด้านสามารถที่จะพัฒนาขึ้นได้ดโดยการทำบ่อยๆ เช่น ความสามารถในด้านฟาร์มจะเลเวลอัพได้หากเราทำการผลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์มากๆ โดยหลังเลเวลอัพจะทำให้เราทำงานต่างๆได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและคราฟของใหม่ๆได้ และที่สำคัญที่สุดหากถึงเลเวลที่กำหนดเราจะเลือกสายของสกิลได้อาทิเช่น เมือความชำนาญในการตกปลาถึงระดับ 5 เราจะเลือกได้ว่าเอาโบนัสอะไรระหว่าง วัตถุดิบในการทำที่ดักปลาลดลง หรือ ตกปลาได้ดีขึ้น กิจกรรมที่มีให้ทำโคตรเยอะ อย่าคิดว่าเกมนี้เป็นแค่เกมปลูกผักธรรมดานะครับภายในตัวเกมเนี่ยเป็นเหมือนหลายๆเกมที่มารวมกันเลยทีเดียวนอกเหนือจากการทำฟาร์มในเกมแล้ว การตกปลาของเกมก็ทำออกมาได้ดีมากอย่างเช่น อุปกรณ์ตกปลาที่เราสามารถปรับแต่งได้ และปลาที่จะโผล่เฉพาะแต่ละจุดหรือระบบลงดันเจี้ยนที่เราต้องไปฟัดกับมอนสเตอร์ที่ถึงแม้จะไม่ใช่เกมแนว Rpg เต็มรูปแบบแต่ในส่วนนี้ก็ทำออกมาได้สนุกมากเลยทีเดียวครับ    ข้อเสีย 1.บ้างคือระบบเควสของตัวเกมเราจะต้องเอาของไปส่งให้กับ NPC แต่ละตัวซึ่งต้องเดินหาเอาเองแล้วบางเควสดันจำกัดเวลาบางทีจะเอาไปส่งก็หายหัวไปไหนไม่รู้ 2.จดหมายที่ถ้าเผลอกดปิดแล้วย้อนกลับไปอ่านไม่ได้(จดหมายทำลายตัวเองเรอะ) 3.ปฎิทินวันเกิดและกิจกรรมต้องเดินไปดูที่ในหมู่บ้าน (ตอนหลังซื้อได้ที่ร้านของโรบิน) 4.ของเควสบางอย่างหายากสัสรัสเซียแม่งซ่อนไว้ไหนไม่รู้ 5.บั๊กที่ยังมีประปราย สรุป Stardew Valley เป็นเกมที่ควรค่าแก่การซื้อมาเก็บไว้เป็นอย่างยิ่งด้วยตัวเกมที่ถึงแม้จะทำด้วยตัวคนเดียวและมีบั๊กอยู่บ้างแต่ความสนุกกินขาด ผมให้คะแนน 9.9/10  

Read more

Sid Meier's Civilization: Beyond Earth หลังจากที่ผมคิดอยู่นานพอดูในระดับหนึ่งว่าจะสอยเกมนี้มาเล่นดีไหม แต่ด้วยความที่ค่อนข้างชอบเกมซีรีย์นี้อยู่แล้วจึงตัดสินใจซื้อ Pre-Order ก่อนวันออก   1 วันเพราะอยากได้ของแถม(ฮา)  มาเข้าเรื่องกันดีกว่า  ในบทความนี้ผมจะพูดถึงภาพรวมภายในเกม ซึ่งระบบโดยพื้นฐานนั้นค่อนข้างที่จะคล้าย Sid Meier’s civilization v แต่ก็มีสิ่งที่แตกต่างกันอยู่มาก  โดย Theme ของเกมจะอยู่ในยุคอวกาศที่มนุษย์ขึ้นไปตั้งรกรากบนอวกาศโดยเราจะต้องเลือกว่าจะทำอย่างไรกับอารายธรรมของเราต่อไป เราจะอยู่กับเอเลี่ยนอย่างสันติสุข หรือเราจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มันให้หมดสิ้น ชะตากรรมของมนุษย์ชาติอยู่กับตัวคุณแล้วครับ การปรับแต่งที่หลากหลาย (Customization) ภายในเกมนี้มีสิ่งที่เราต้องเลือกตั้งแต่เริ่มเกมจนถึงท้ายเกมมากมายซึ่งส่งผลให้รูปแบบการเล่นของเราแต่ละรอบแทบจะไม่มีทางเหมือนกันเลย โดยแบ่งออกเป็นสิ่งต่างๆดังนี้ 1.เลือกสปอนเซอร์ ในการเดินทางไปยังอวกาศนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือเงินทุนและการสนับสนุนโดยเหล่าผู้สนับสนุนแต่ละแห่งนั้นจะให้โบนัสที่แตกต่างกันออกไปโดย โดยผู้สนับสนุนคือสหพันธ์ที่รวมจากประเทศต่าง ๆ   2.เลือกประเภทของชาวอาณานิคมที่จะไปกับยาน จะได้โบนัสในแต่ละเมืองแตกต่างกันไปตามประชนชนที่อาศัยเช่นถ้าเลือกนักวิทยาศาสตร์เมืองของเราจะได้รับโบนัสด้านการวิจัย +2 ทุกเมืองเป็นต้น   3.เลือกประเภทยานอวกาศ จะมีผลในการเล่นช่วงแรกพอสมควรเราจะให้โบนัสตอนเริ่มแตกต่างกันไปตามประเภทโดยในยานแต่ละลำจะมีการ สแกนแบบเห็นขอบทวีป จะทำให้เราวางแผนการเดินทางในการสำรวจได้ หรือการสแกนแบบหาพวกแร่ธาตุก่อนก็จะทำให้เราวางแผนนำมาใช้ได้ง่ายขึ้น       4.เลือกของที่จะนำไปกับยาน จะเป็นโบนัสตอนเริ่มต้นโดยมีให้เลือกคือได้ คนงาน  ตั้งแต่ต้น ได้ทหารตั้งแต่ต้น ได้ประชนชนตั้งแต่ต้น  ได้เทคโนโลยี Pioneering  ตั้งแต่ต้น     5.เควสต่างๆ ภายในเกมจะมีเควสให้เราทำมากมายตามสายที่เราเลือกเล่น ซึ่งเมื่อเราทำเสร็จจะมีโบนัสมาให้เลือก ซึ่งตรงนี้เองทำให้แนวทางการเล่นของแต่ละคนและแต่ละรอบแทบจะไม่ซ้ำกันเลย เนื่องจากเควสนั้นมีหลากหลายมากและโบนัสที่มีให้เลือกก็หลากหลายมากเช่นกัน       6.การเลือกแนวการพัฒนา (Affinities) เมื่อเราพัฒนาเทคโนโลยีไปในระดับหนึ่ง เราจะสามารถเลือกเทคโนโลยีที่นำมาซึ่งแนวการพัฒนาทั้ง 3 แบบได้ โดยการพัฒนาเหล่านี้จะมีผลกับทรัพยากร แนวทางการเล่น การอัพเกรดยูนิต และอื่น ๆ มีทั้งหมด 3 สาย ประกอบด้วย สาย Purity คือมนุษย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลกใหม่ให้เหมือนโลกเก่าของตนเอง โบนัสส่วนมากจะเป็นการเลือกโบนัสพลังโจมตีหรือป้องกันไปเลยตรง ๆ สาย Supremacy คือมนุษย์ที่พัฒนาเทคโนโลยีและเสริมเทคโนโลยีเข้ากับตัวเองจนกลายเป็นไซบอร์ก จะเน้นไปที่โบนัสการรวมกำลัง และได้รับโบนัสสเตตัสเมื่ออยู๋ใกล้กัน สาย Harmony คือการรวมตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ โบนัสจะเน้นไปที่การฟื้นฟูพลังชีวิตและความคล่องตัวในการเคลื่อน จำนวน   7.ใยเทคโนโลยี (Technology Web) ในเกมภาคนี้การพัฒนาเทคโนโลยีจะเป็นใยแมงมุมซึ่งแต่ละอย่างจะเชื่อมโยงถึงกัน เราสามารถเลือกเน้นไปยังประเภทของเทคโนโลยีที่เราอยากไปถึงได้โดยไม่ต้องไล่ลำดับขั้นให้วุ่นวายแบบภาคเก่าๆ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ต้องการก่อนจะอัพได้ก็ตามแต่ รูปแบบจะไม่ค่อยตายตัวนักและสามารถอัพได้อิสระมากๆ  ทำให้รูปแบบการเล่นออกมา หลากหลายและ ปรับได้ตามที่เราชอบ               8.Virtue ถ้าเป็นภาคที่แล้วจะเป็น Policy  ค่านี้เราจะได้จากค่า Culture  โดยในภาคนี้จะแบ่งออกเป็น 4 สาย  3 Tier โดยจะมีโบนัสแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือโบนัส Tier กับโบนัส สาย โบนัส Tier จะได้เมื่ออัพ Virtue ของ Tier นั้นถึงที่กำหนด(ไม่แบ่งสาย) ส่วนโบนัสสายจะได้เมื่ออัพ Virtue ของสายนั้นๆ ได้ถึงที่กำหนด     NPC ที่เปลี่ยนไปแนวทางการพัฒนา ในเกมนี้เราจะเห็น NPC ตัวเดิมแต่เปลี่ยนลักษณะท่าทางไปเรื่อยๆ ตามสายการพัฒนา example                          ระบบมุมมองแบบดาวเทียม ในเกมนี้เราสามารถส่งดาวเทียมเพื่อเพิ่มโบนัสของพื้นที่ต่างๆได้เช่น Solar Collector จะทำให้เราเก็บเกี่ยวพลังงาน(เงิน)ได้มากขึ้นหรือ ดาวเทียมที่ทำให้เราได้รับค่า วิทยาศาสตร์มากขึ้นเป็นต้น ทำให้การ manage ของเราไม่จำกัดอยู่แค่ภายในเมือง   สรุป ถ้าไม่นับความรู้สึกที่บอกว่ามันเป็น Civ V ใส่สกิน Sci-Fi ผมรู้สึกค่อนข้างประทับใจกับเกมนี้ในเรื่องของการที่เราปรับแต่งได้เยอะมากๆ แต่ก็มีสิ่งที่ขัดใจอยู่หลายอย่างเช่น interface ที่ผมมองว่าพยายามทำให้ดูเรียบง่ายขึ้นแต่ มันดูงงกว่าเดิม (แต่พอสักพักก็ชินนะ) กับการเล่นที่พอนานไป action ในแต่ละตาจะเยอะมาก อย่างการควบคุม trade route ที่หากเน้นไปทางสายค้าขายแล้วสร้าง trade route เยอะๆนี่ แทบจะต้องมานั่งกดทุกตาเลย ถ้าหากว่ามีคำสั่งให้ไปเมืองเดิมตลอดนี่จะดีมาก  และในส่วนของ Explore ที่ชอบเดินโง่ๆไปให้เอเลี่ยนแดกเล่น หากกดสำรวจอัตโนมัติ ในส่วนของเพลงยังทำได้ดีตามมาตรฐานของค่ายนนี้ สุดท้ายในส่วนของ NPC ที่ผมรู้สึกว่ายังฉลาดน้อยไปสักหน่อย (หรือผมยังไม่ได้เล่นระดับยากมากหว่า) โดยรวมแล้วเกมนี้ผมถือว่าเป็นเกมที่สนุกมากครับ Final score: 8/10   เขียนโดย rexexin&Fortex  

Read more
Page 3 of 3 1 2 3
ADVERTISEMENT