จัดว่าเป็นเวลานานเลยทีเดียวหลังจากที่ Halo 5: Guardians ได้ออกมาก่อนจะฝากความทรงจำหลายๆ อย่าง(?)ไว้กับเหล่าเกมเมอร์ ในวันนี้ทาง 343 Industries ก็ได้ทำการปล่อยเนื้อเรื่อง Campaign ของตัว Halo Infinite ออกมาเรียบร้อยแล้วหลังจากที่เปิดตัว Multiplayer ให้ได้เล่นกันมาพักใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้หลายคนถามเช่นกันว่า แล้วเนื้อเรื่องที่ออกมาเนี่ยมัน….. จะไหวไหม? ในวันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องเอ้ย รีวิว ตัวส่วนของเนื้อเรื่องโดยไม่ spoil เนื้อเรื่องของตัวเกม Halo Infinite กันจ้า
รีวิว Halo Infinite Campaign
ก่อนอื่นก็อย่างที่หลายคนทราบว่า ตัวเนื้อเรื่องของ Halo Infinite นั้นในตอนนี้ยังไม่สามารถเล่นแบบ co-op ได้ ดังนั้นก็ต้องรอการอัพเดทในอนาคตกันอีกยาวเลยล่ะ ตัวเนื้อเรื่องหรือ solo campaign ของตัวเกมนั้นก็จัดว่าสมกับที่หลายคนบอกว่าให้ผ่านถึงจะมีจุดนึดนึงที่ยังขัดใจอยู่ก็ตาม เพราะประสบการณ์การได้เล่นนั้นก็ต้องบอกได้ว่า ว้าวในหลายๆ อย่างเลยทีเดียว และก็มีอะไรนิดๆ ที่รู้สึกว่ามันยังไม่สุดอ่ะ ให้พอสะดุดกันบ้าง แต่ไม่ถึงกับรู้สึกถอนหายใจแรงเหมือนกับเกมใหญ่ๆ หลายเกมในช่วงที่ผ่านมานี้ (อันที่จริงต้องบอกปีสองปีนี้มันอะไรกัน ฮา) และถ้าใครเป็นแฟนของซีรี่ย์ Halo มาก่อนนั้นก็ไม่ผิดหวังอะไรแต่อย่างใดแน่นอน
เนื้อเรื่องที่ต่อจากเดิม
ด้านเนื้อเรื่องนั้น จะให้เรียกว่าเป็น Halo 6 ไปเลยก็อาจจะไม่ผิดเท่าไหร่นัก เพราะเป็นการดำเนินเรื่องราวต่ออ้างอิงจากความเดิม ซึ่งถ้าใครที่พึ่งจะมาสัมผัสกับตัวซีรี่ย์ นี้นั้นอาจจะเข้าไม่ถึงในหลายๆ จุดจนอาจจะต้องไปหาทาง recap เรื่องราวคร่าวๆ ของจักรวาลนี้กันมาก่อนซักหน่อย ตัวเนื้อเรื่องของภาคนี้มีความตรงไปตรงมามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีส่วนของความเป็น plot twist ให้มีความหักเห น่าสนใจในเวลาเดียวกัน และโฟกัสไปที่ตัวละครหลักจริงๆ ไม่โยนเผือกร้อนไปมาให้ตัวละครหลักเหงากันแล้ว
แน่นอนว่าทีมงานนั้นพยายามจะให้ Halo Infinite กลายเป็นรากฐานของ Halo หลังจากนี้ การนำตัวละครหลักมาเป็นจุดโฟกัสหลัก รวมถึงเพิ่มจุดเปลี่ยนด้วยตัวละคร AI ใหม่นั้น ได้ทำให้มันมีความเป็นไปได้มากขึ้นในจักรวาล Halo นี้เลยทีเดียว ตัวละครหลักแต่ละตัวก็มีการพัฒนาการที่ต่อเนื่อง ไม่ได้แบนราบมิติเดียวหรือเพอร์เพ็คจนเกินไป ก็ทำให้ดูเป็นการเริ่มต้นใหม่ดีอีกด้วย
เกมเพลย์ที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
ถามกี่คนก็บอกได้เลยว่าการมีเจ้า Grappleshot (หรือ Grapple Hook ในเกมอื่น) ใน Halo Infinite นั้นเป็นจุดเปลี่ยนของเกมเพลย์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ความอิสระที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น ความสะดวกในการใช้งานที่เอาไปใช้ได้หลายอย่างมากๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเว่อร์วังอลังการจนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเกม (ถึงแม้ว่าพี่แกจะทำให้อาวุธอื่นดูเหงาๆ หน่อยก็ตามอ่ะนะ ของใหม่มันว้าวทำไงได้) แน่นอนว่าใครที่ไม่ชอบ Master Chief ของเราว่องไว พริ้วๆ ก็อาจจะเคืองหน่อย แต่เจ้า Grappleshot นั้นเปิดให้ Chief ของเรามีอิสระในการต่อสู้ สามารถเล่นกับของต่างๆ ในฉากหรือพลิกแพลงการต่อสู้ได้ดีขึ้นมาก ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้ผู้เล่นอย่างเราเลือกได้ว่าจะเล่นแบบเดิมๆ หรือจะใช้ของใหม่ก็ได้เช่นกัน
ในด้านของพวกยานภาหนะต่างๆ นั้นก็เช่นกัน พวกมันมีส่วนช่วยให้ตัวเราไปไหนมาไหน และแน่นอน ถล่มพวกศัตรูได้ง่ายขึ้น แม้ว่าในช่วงแรกของเกมมันอาจจะเป็นแค่ของที่ช่วยให้เราเดินทางได้เร็วกว่าวิ่งเอง (หรือ Hook ไป) แต่ในภายหลังที่มียานภาหนะหลายแบบทั้งรถพร้อมทหารหรือยานบิน ประกอบกับอาวุธที่มีหลายอย่างในเกมมากขึ้น มันทำให้ผู้เล่นอยากจะลองใช้อะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเกมมีให้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ดี มันไม่ได้หมายความว่ายานภาหนะพวกนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในระดับความยากสูงขึ้น ศัตรูมันก็รับมือได้ดีขึ้นและสามารถบี้ยานที่เรามั่นใจว่าจะขยี้พวกมันได้เช่นเดียวกัน
ตัวบอสเองก็เช่นกันที่ทีมงานเองก็ดูเหมือนจะทุ่มเทเป็นอย่างมากในการพัฒนา boss fight ให้น่าสนใจและท้าทายมากขึ้น ตัวบอสนั้นมีลูกล่อลูกชน วิธีการต่อสู้ที่ทำให้ผู้เล่นต้องคิดหาวิธีการรับมือมากขึ้นกว่าเดิม หรืออาจจะถึงขั้นต้องดูว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้เรารับมือกับมันได้ง่ายขึ้น ไม่เหนื่อยขนาดนี้ผ่านอะไรหลายๆ อย่างที่ปลดล๊อคมาเรื่อยๆ ระหว่างการเล่น ซึ่งจัดว่าเป็นอะไรที่ดีกว่าการใช้แต่ปืนเดียว เทคนิคเดียวในการเหยียบบอสเกือบทุกตัว
ความเป็น open world
ถึงแม้ว่าตัว Halo Infinite นั้นจะมีความเป็น open world โลกกว้างใหญ่ Zeta Halo น่าตื่นตาตื่นใจจังเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ open world แหละ แค่… มันโดนล๊อคพื้นที่ต่างๆ ไว้ ต้องเคลียร์เนื้อเรื่องถึงจุดๆ หนึ่งก่อนถึงจะปลดล๊อคออกมาได้ และหลายๆ พื้นที่ เนื้อเรื่องก็พาเรากลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่แคบๆ ทางเดินแบบเดิมๆ วนไปวนมาเก็บแบตเตอร์รี่เปิดประตูกัน ทำให้ความเป็น open world ที่ว่ามันก็ดูกร่อยๆ ไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจำกัดจำเขี่ยแย่ไปเลยขนาดนั้น ในความเป็น open world นั้นก็ยังมีความหมายนั้นอยู่ ผู้เล่นจะเจอภารกิจเสริมรวมไปถึง collectible สำหรับเก็บเนื้อเรื่องเสริมของตัวเกมกระจัดกระจายไปทั่วใน Zeta Halo แห่งนี้ ตรงนั้นก็มีศัตรู ตรงนี้ก็มี Banished ให้เราได้จัดการ เรียกว่าตัวเนื้อเรื่องมันจะออกไปทางเป็นเส้นตรง แต่เปิดให้ผู้เล่นได้ออกนอกลู่นอกทางได้หลังเปิดพื้นที่แล้วมันก็ถือว่าโอเคนะ ไม่ได้แย่เลย แค่มันไม่ได้เป็น open world แบบแท้ๆ จ๋าๆ เลยแค่นั้นเอง
พูดถึงความเป็น open world ที่กว้างใหญ่นั้น ก็น่าเสียดายที่สภาพของภูมิประเทศนั้นมันค่อนข้างที่จะซ้ำไปซ้ำมา ป่าไม้ พื้นดินที่มีหญ้าและก้อนหินใหญ่ๆ กับหน้าผาแบบเดิมๆ ถ้าเทียบกับภาคก่อนๆ ที่มีความแตกต่างกันของพื้นที่ต่างๆ คือแม้ว่าตัวละครของเราจะมีพื้นที่ให้วิ่งเล่นได้กว้างมากขึ้น โหนเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี แต่ความซ้ำของฉากที่ตื่นตาตื่นใจแค่ช่วงแรกที่ได้เห็นก็ชวนให้ผิดหวังกันหน่อยไม่ได้
สรุป รีวิว เนื้อเรื่อง Halo Infinite
ถ้าจะเอาสรุปตัว รีวิว แล้วนั้น ก็ต้องบอกว่า Halo Infinite นั้นสมเป็น Halo ที่หลายคนคิดถึง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการที่กลับมาสมอย่างที่หลายคนเฝ้ารอก็เป็นได้ มีจุดที่พัฒนาไปมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มีจุดที่ชวนให้เรารู้สึกสะดุดชะงักนิดหน่อย เกมเพลย์ที่มีการเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก การสลับไปมาระหว่างยุคเก่าๆ เดิมๆ และความเป็น open world แบบใหม่ที่ดูกว้างตื่นตาตื่นใจ เนื้อเรื่องที่เล่นกับตัวละครหลักเต็มๆ (ถึงแม้ว่าจะเล่นกันแบบไม่กลัวผู้เล่นใหม่จะตามไม่ทันก็เถอะ)
เรียกได้ว่าแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเกมที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะปั่นหาของในเกมซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยรอบ หรือมีความเป็นโลกกว้างสุดๆ ให้เราได้ทำนู่นนี่จนลืมเควสหลักแบบหลายๆ เกม แต่ทางทีมงาน 343 Industries ก็ได้เหมือนกับหาทางปูทางให้กับอนาคตของซีรี่ย์ Halo จริงๆ เหมือนอย่างที่ได้พูดไว้ และทำให้เหล่าแฟนๆ สามารถรู้สึกคาดหวังได้กับตัวเกมหลังจากนี้จริงๆ ดังนั้นการจะบอกว่าตัวเนื้อเรื่องของ Halo Infinite นั้นเป็นอะไรที่ดีมาก ก็ใช่เลยล่ะ แต่จะให้เรียกว่ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด ก็อาจจะยังไม่ขนาดนั้น
ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจตัวเกม Halo Infinite ในส่วนของเนื้อเรื่องแล้วนั้น ในตอนนี้ก็มีวางขายอยู่บน [ Steam ในราคา 1,899 บาท ] จ้า แน่นอนว่าต้องมีตัว Halo Infinite (เล่นฟรี) ด้วยนะจ๊ะถึงจะเล่นได้ เรียกว่าถ้าไม่สนใจเนื้อเรื่องก็สามารถหรอยตัวเกมหลัก multiplayer มาเล่นชิวๆ ได้เช่นกันจ้า