นับว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความสนใจอย่าล้นหลามจากแฟนเกมทั่วโลกเลยก็ว่าได้ครับกับ Overwatch 2 ภาคต่อของเกม FPS สุดโด่งดังน่ะเอง โดยในวันนี้ผมเลยจะมารีวิวตัวเกมดังกล่าวพร้อมเปรียบเทียบความต่างระหว่างภาค 1 และ 2 ให้เพื่อนๆ ได้รู้กันครับผม
เกี่ยวกับเกม Overwatch 2
ตามชื่อเกมเลยครับ Overwatch 2 นี้ก็คือตัวเกมภาคต่อในลำดับที่สองจากผลงานเกม FPS ชื่อดังอย่าง Overwatch ของทางค่าย Blizzard น่ะเองครับ ซึ่งได้มีการเปิดตัวออกมาครั้งแรกภายในงาน Blizzcon เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2019 หรือก็คือ 3 ปีก่อนน่ะเองครับ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างจนท้ายสุดทางตัวเกมก็ได้เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 นี้นั่นเองครับ
โดยหนึ่งในความน่าสนใจก็คือตัวเกม Overwatch 2 นี้ได้มีการเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของ Free to Play แล้วทำให้ต่อให้ผู้เล่นที่ไม่เคยมีตัวเกมภาคแรกมาก่อนก็สามารถเข้ามาเล่นกันภายในเกมได้เลยทันทีน่ะเอง และถึงแม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภาคต่อก็จริงแต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้เล่นหลายคนบอกว่า “มันไม่ต่างจากภาคแรกเลยไม่ใช่หรือไง?”
ในวันนี้เราจะมาดูกันดีกว่าว่าไอที่เขาว่าเหมือนมันเหมือนจริงหรือเปล่า? แล้วไอที่เขาบอกว่ามันใหม่น่ะมีอะไรบ้าง? เอาล่ะมาดูกันเลยดีกว่าครับ
ระบบเกมเพลย์เป็นยังไงบ้าง
มาเริ่มกันในส่วนแรกเลยกับหัวใจหลักของตัวเกมอย่าง “เกมเพลย์” นั่นเองครับ สำหรับรูปแบบการเล่นภายในเกมนั้นจะยังคงสไตล์เดิมคือเป็น เกมชูตติ้งแนว FPS ที่มาในสไตล์ของเกม Hero Shooter เหมือนเดิมแทบทุกอย่างเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปและค่อนข้างส่งผลกระทบอย่างมากเลยก็คือการเปลี่ยนรูปแบบการเล่นให้เป็น “ทีม 5vs5” แทนน่ะเองครับ ต่างจากในภาคแรกที่จะแบ่งเป็นฝ่ายละหกคน ซึ่งถึงแม้จำนวนผู้เล่นในแต่ละฝ่ายจะลดลงไปเพียงคนเดียวก็จริง แต่มันก็ส่งผลให้การเลือกฮีโร่, การวางตำแหน่ง, การเลือกโรล หรือ การวางแผน ต่างไปด้วยเช่นกันครับ
ในส่วนของแผนที่หรือโหมดการเล่นต่างๆ ที่เราเคยเล่นกันใน Overwatch ภาคแรกก็จะถูกนำมาใส่ภายในภาคสองนี้ไว้อย่างครบถ้วนเลยทั้ง Control, Escort, Team Deathmatch ไปจนถึงโหมดอื่นๆ เองก็ตามที แต่จะมีอยู่หนึ่งโหมดที่ถูกนำออกไปก็ได้แก่โหมด Assault หรือ Two-point Captures น่ะเองครับ โดยจะเป็นการนำออกจากการเล่นในโหมดหลักของตัวเกมแต่สำหรับผู้เล่นเก่าคนไหนที่คิดถึงโหมดดังกล่าวก็ยังสามารถเข้าไปเล่นภายใน Custom Games ได้อยู่ครับ
ทางด้านตัวละครหรือฮีโร่ละเป็นยังไงบ้าง
ทางฝั่งตัวละครหรือฮีโร่นั้นภายในเกม Overwatch 2 นี้จะมีการนำเอาตัวจากภาคก่อนทั้ง 32 ตัวมาใส่ไว้ในเกมอย่างครบถ้วนเลยครับ แต่สิ่งที่จะต่างออกไปจากในภาคแรกเลยคือหลายๆ ตัวจะถูกปรับบาลานซ์ไปพอสมควรครับ บางตัวก็เปลี่ยนแค่ค่าสเตตัสพื้นฐานทั่วไปในขณะที่บางตัวก็ถูกเปลี่ยนสกิลหรือไม่ก็ถูกถอดสกิลไปเลยน่ะเอง
ส่วนความแตกต่างอีกอย่างนั้นจะอยู่ตรงผู้เล่นเก่าและผู้เล่นใหม่น่ะเองครับ สำหรับผู้เล่นเก่าที่เคยซื้อตัวเกม Overwatch ในภาคแรกมาก่อนเมื่อเข้ามาเล่นในภาคสองนี้ตัวละครเก่าทั้งหมดจะถูกปลดให้เล่นได้ทันทีเลย แถมยังมาพร้อมสกินและของแต่งมาให้ครบถ้วนเลยด้วย แต่ถ้าคุณเป็นผู้เล่นใหม่แกะกล่องทางตัวเกมจะปลดตัวละครมาให้คุณเล่นเพียง 13 ตัวเท่านั้นซึ่งตัวละครที่เหลือเราก็ต้องไปนั่งทำ Challenge ที่ตัวเกมกำหนดมาเพื่อปลดน่ะเอง โดยการปลดตัวเก่าให้ครบทั้งหมดนั้นอาจต้องใช้เวลาในการเล่นกว่า 50 – 100 รอบเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเป็นเกมภาคใหม่ถ้าไม่มีฮีโร่ใหม่มาด้วยก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ซึ่งทางตัวเกมก็ได้มีการเพิ่มฮีโร่ใหม่มาด้วยกัน 3 ตัวคือ Junker Queen – สายแทงค์, Sojourn – สายโจมตี และ Kiriko – สายซัพพอร์ต โดยที่สองตัวละครแรกนั้นจะปลดออกมาให้ทันทีที่เริ่มซีซั่นแรกครับผม ในขณะที่ตัวของน้องคิริโกะนั้นจะปลดได้ก็ผ่านทาง Battle Pass เท่านั้นน่ะเอง
หลักๆ ของฮ๊โร่ก็คืออยู่ครบครับแถมมีตัวใหม่มาด้วยแล้วก็คือมีการปรับเปลี่ยนบาลานซ์น่ะเอง
มีอะไรใหม่ในเกมภาคนี้บ้าง
มาว่ากันถึงรายการอัปเดตใหม่ๆ กันบ้างดีกว่าครับ โดยสิ่งแรกที่ได้มีการเพิ่มเข้ามาและค่อนข้างเป็นที่สนใจพอสมควรเลยก็คือตัวของ Battlepass น่ะเอง จากเดิมในภาคก่อนทางตัวเกมไม่เคยมีการนำแบทเทิลพาสใส่ไว้ในเกมเลยจะมีก็เพียงกิจกรรมตามช่วงเวลาหรือเทศกาลก็เท่านั้น ทำให้การเพิ่มมาในครั้งนี้จึงทำให้แฟนเกมหลายคนค่อนข้างว้าวพอสมควรเลยล่ะ
ซึ่งก็เหมือนกับในทุกๆ เกมครับ Battlepass ภายในเกมนี้ก็จะมีทั้ง “แบบฟรี” และ “แบบเสียเงิน” โดยไฮไลต์ของแบทเทิลพาสนี้จะอยู่ตรงแบบเสียเงินเลเวล 80 ครับที่เมื่อเราเก็บเลเวลไปถึงเราจะได้รับสกิน Cyber Demon ของฮีโร่ Genji สกินระดับ Mythic ที่สวยมากๆ แถมยังมีลูกเล่นสามารถเลือกดาบด้านหลัง, หน้ากากที่ใส่อยู่, ลายบนลำตัว หรือแม้แต่โทนสีได้อีกต่างหาก จัดว่าเป็นของที่เหล่านักสะสมไม่ควรพลาดเลยล่ะ
รายการอัปเดตต่อมานั้นก็ได้แก่โหมดใหม่อย่าง Push Mode โหมดการเล่นที่ผู้เล่นทั้งสองฝั่งต้องคอยเข้าไปยึดหุ่นยนต์ตรงตำแหน่งที่กำหนด ฝ่ายไหนยึดได้หุ่นดังกล่าวก็จะวิ่งไปทำการดันแพงให้ฝ่ายนั้นและเมื่อดันไปถึงจุดกำหนดก็เป็นฝ่ายชนะไปน่ะเอง อารมณ์คล้ายการเล่นในโหมด Payload นั่นละครับเพียงแต่จะไม่มีฝ่ายบุกหรือฝ่ายป้องกันแต่จะกลายเป็นทั้งสองต้องแย่งหุ่นยนต์ให้ได้แทนครับผม
นอกเหนือจากโหมดการเล่นใหม่เพิ่มเข้ามาทางตัวเกมยังมีแผนที่ใหม่อีกกว่า 6 ด่านให้เราได้เล่นกันอีกด้วยครับ แถมแมพเก่าก็ยังอยู่ครบถ้วนเช่นกันเตรียมตัวเล่นกันไปยาวๆ เลยล่ะ
อันดับถัดไปได้แก่ในส่วนของเควสหรือ Challenge หรือ “เควส” ครับ ที่มีมาในลักษณะเควสต่างๆ ทั้งแบบ รายวัน, รายสัปดาห์, แบบซีซั่น, เควส Competitive, เควส Lifetime รวมถึงใครที่ยังปลดไม่ครบก็จะมีเควส Hero มาให้ทำด้วยก็ตามที เรียกว่ามีอะไรให้ทำยาวๆ เลยใครกลัวว่าเล่นไปแล้วไม่มีจุดหมายไม่มีอะไรให้ทำก็หายห่วงได้ แถมที่สำคัญเควสรายสัปดาห์นั้นเมื่อเราทำถึงยอดก็จะได้รับ Overwatch Coins หรือ “เหรียญทอง” ค่าสกุลเติมเงินมาไว้สะสมได้อีกต่างหากเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้สายฟรีสามารถเก็บออมมาซื้อสกินได้น่ะเอง
เทียบกับภาคแรกแล้วเป็นยังไงบ้าง
ถ้าให้หยิบมาเทียบระหว่าง Overwatch และ Overwatch 2 ก็คงบอกได้แค่ว่า “มันคือเกมเดียวกันนั่นล่ะครับ” เนื่องจากระบบหลายๆ อย่างมันก็ยังใช้ตัวเดิม, ตัวละครเดิม, โหมดการเล่นเดิม มันเลยทำให้ความรู้สึกแทบไม่ต่างกันไปเลย ถ้าให้เทียบจริงๆ มันก็เหมือนกับเป็นเกมภาคแรกที่มีแพทช์อัปเดตใหม่เข้ามามากกว่าล่ะนะ จะมีที่เห็นชัดและทำให้เกมรู้สึกต่างไปเลยก็คงเป็นระบบการเล่นที่กลายมาเป็น 5vs5 แทนนั่นล่ะครับ ซึ่งตรงนี้ต้องบอกเลยว่าถ้าใครเคยชอบอะไรใน Overwatch ภาคแรกก็จะยังคงชอบอยู่ แต่ในขณะที่เคยเกลียดอะไรไว้ก็น่าจะยังคงเกลียดเหมือนเดิมนั่นล่ะนะ
แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ทำให้ดีขึ้นก็มีอยู่อย่างเช่นการเพิ่ม “ระบบ PING” ในภาคนี้เราสามารถกดเพื่อใช้ระบุตำแหน่งศัตรูได้แล้วต่างจากภาพก่อนที่ต้องคอยตะโกนบอกกันหรือเปิดไมค์เท่านั้น อีกส่วนที่ได้การพูดถึงเยอะเลยก็คือ “แต้มสกอร์บอร์ด” แต้มกระดานคะแนนที่ทำออกมาดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนแฟนเกมถูกอกถูกใจกันมากทีเดียว
ส่วนเรื่องน่าเสียใจก็มีอยู่อย่าง “การนำเอา Loot Box ออก” หรือตัวกล่องสุ่มนั่นละครับ ทำให้ต่อไปนี้เวลาเล่นเราจะไม่มีโอกาสได้ลุ้นกล่องอีกแล้วซึ่งตรงนี้ก็นับว่าค่อนข้างลำบากสายฟรีพอสมควรเลยเพราะจะปลดสกินทีต้องทำเควสรายอาทิตย์เท่านั้น ซึ่งตัวเควสที่ว่าทำอาทิตนึงก็ได้ประมาณ 60 เหรียญเองในขณะที่สกินตํ่าสุดก็มีราคา 1,000 เหรียญเลย เรียกว่าเล่นกันบ้าไปข้างนึงเลยล่ะนะ
ท้ายที่สุดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ แล้วล่ะครับว่าจะมาเล่นเกมนี้ดีหรือไม่ล่ะนะ