ถึงแม้ว่าตัวอนิเมะของดาบพิฆาตอสูรจะจบมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นกระแสความนิยมกลับยังไม่ลดลงเลย ยังคงมีการพูดถึงอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะ อย่างล่าสุดก็มีเกมใหม่จากซีรี่ส์ดังกล่าวที่เตรียมตัววางจำหน่ายในอีกไม่นานนี้ ซึ่งด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันเลยทำให้ผมนึกถึงเกมเก่าอยู่เกมนึงขึ้นมา ที่เกี่ยวข้องกับดาบและการปราบอสูรคล้ายๆ กันเลย โดยเกมที่ว่านั่นก็คือ Muramasa – The Demon Blade นั่นเอง
ในคราวนี้ผมเลยจะพาเพื่อนๆ ย้อนวันวานกลับไปหวนละลึกถึงเกมนี้ให้หายคิดถึงกันสักหน่อย และเผื่อใครไม่รู้ว่าเกมนี้คืออะไรอาจจะได้ความรู้เพิ่มเติมกลับไปกันบ้างล่ะนะ
Muramasa – The Demon Blade คืออะไร?
Muramasa : The Demon Blade หรือที่รู้จักในชื่อญี่ปุ่นว่า Oboro Muramasa (朧村正) เป็นเกมแนว Action – RPG ถูกพัฒนาโดยทาง Vanillaware โดยได้มีการวางจำหน่ายให้กับทางเครื่อง Wii ในปี 2009 ก่อนในภายหลังจะมีการพอร์ตไปลงให้กับเครื่อง PSVita ในปี 2013 อีกทีนึง
ตัวเกมได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงการวางจำหน่าย ทั้งจากระบบเกมเพลย์ พล็อตเนื้อเรื่อง ไปจนถึงปัจจัยและฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย ทำออกมาโดยรวมค่อนข้างจะดูดีทีเดียว บวกด้วยกับในจังหวะนั้นเครื่อง Wii กำลังเป็นที่นิยม ส่งผลให้ทั้งตัวเครื่องและตัวเกมสามารถทำยอดขายได้อย่างสูงเลย ณ เวลานั้น
ถึงแม้จะมีหลายเกมพยายามลอกเลียนแบบ Muramasa แต่ก็ไม่มีเกมไหนจะสามารถทำออกมาดีเทียบเท่าได้ และเราคงปฏิเสธิไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในเกมที่ประสบความสำเร็จสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเครื่อง Wii เลย
เนื้อเรื่องย่อ
Muramasa จะดำเนินเรื่องราวอยู่ช่วงยุคสมัย เอโดะ (江戸時代) บริเวณแถบเกาะ ฮนชู (本州) ว่าถึงตัวของผู้นำแคว้นในขณะนั้นหรือโชกุน Tokugawa Tsunayoshi (徳川 綱吉) กับความกระหายซึ่งอำนาจ และต้องการที่จะรวบรวมดาบปีศาจ Demon Blade ทั้งหมดมาไว้ครอบครอง ดาบเหล่านี้ได้ชื่อว่ามีปีศาจสิงอยู่ทำให้ผู้ถือครองเกิดอาการคลุ้มคลั่งไล่ทำร้ายคนรอบข้าง ก่อนจะลงเอยด้วยเรื่องราวโศกนาฏกรรมแด่ผู้ถือครองนั่นเอง
เนื้อเรื่องภายในเกมว่าถึงตัวเอกสองคนด้วยกันโดยคนแรกมีนามว่า Momohime หญิงสาวในชุดกิโมโนผู้ถูกวิญญาณนักดาบ Jinkuro เข้าสิง เพื่อต้องการนำร่างกายของเธอไปใช้เพื่อทำภารกิจบางอย่าง
ส่วนอีกหนึ่งตัวละครเอกคือ Kisuke นินจาหนุ่มจากหุบเขากระโหลกผู้สูญเสียความทรงจำ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการหลบหนีจากการไล่ล่าของนินจาตระกูลเดียวกัน โดยมีเป้าหมายคือการค้นหาความจริงว่าเพราะอะไรตัวเขาจึงถูกไล่ล่าโดยพวกพ้องนั่นเอง
ถึงแม้ทั่งคู่จะมีเส้นทางเดินและเป้าหมายต่างกัน แต่กลับมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างที่เกี่ยวข้องอยู่ นั่นคือดาบที่ทั้งสองพกติดตัวมาล้วนเป็นดาบที่ถูกตีโดยช่างคนเดียวกันซึ่งก็คือตัวของ Muramasa นั่นเอง
ระบบเกมเพลย์
รูปแบบการเล่นนั้นมาในลักษณะของ 2D Side Scrolling และใช้ระบบการต่อสู้แบบ Hack&Slash โดยผู้เล่นจะสามารถเดินทางตะลุยไปยังแผนที่ต่างๆ เพื่อทำภารกิจและดำเนินเนื้อเรื่อง ตลอดจนถึงการเข้าไปตามเมืองแต่ละแห่งพร้อมพูดคุยกับ NPC เพื่อซื้อของหรือเพื่อรับเควสเพิ่มเติมได้ด้วย
ในส่วนของอาวุธจะมีการแบ่งออกเป็นสองประเภทนคือ ดาบสั้น (Katana) มาพร้อมการโจมตีอันรวดเร็ว และ ดาบยาว (Nodachi) ที่ถึงแม้อาจจะโจมตีได้ช้ากว่าแต่ก็แลกมากับพลังโจมตีที่สูงกว่า โดยผู้เล่นสามารถพกดาบสูงสุดสามเล่มด้วยกันและสลับไปมาได้ตลอดเวลา
นอกเหนือจากค่าสเตตัสพื้นฐานแล้ว ดาบแต่ละเล่มยังจะมีสกิลและความสามารถพิเศษเรียกว่า Secret Art หรือแปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือสกิลอาวุธนั่นเอง เช่นสกิล Skull ทำการเสกลูกไฟวิญญาณออกไปด้านหน้าเพื่อทำดาเมจ หรืออย่างสกิล Moon Ring หมุนโจมตีรอบตัวพร้อมสร้างคลื่นกระทบออกไปเป็นวงกว้างเหมือนวงแหวงพระจันทร์
ในการผสมสกิลของดาบแต่ละเล่มผู้เล่นจะสามารถสร้างคอมโบในแบบของตัวเองได้ ซึ่งการต่อคอมโบไปเรื่อยๆ นี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งในจุดขายประจำเกมนั่นเอง
งานภาพและดนตรีอันงดงาม
อีกหนึ่งความสวยงามที่ทำให้ Muramasa กลายเป็นเกมที่ถูกพูดถึงกันมากเลยก็คือ งานภาพและดนตรีประกอบ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าเป็นอะไรที่ทำออกมาได้เยี่ยมสุดๆ ไปเลยล่ะ
เนื่องด้วยเนื้อหาในเกมจะอยู่ในช่วงสมัยเอโดะ บวกด้วยกันกับธีมเนื้อเรื่องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจ งานภาพต่างๆ จึงมีการเลือกใช้โทนสีในสไตล์งานศิลปะญี่ปุ่นแบบโบราณผสมผสานกับการใช้ลายเส้นแบบพู่กันญี่ปุ่น ส่งผลให้จุดที่สว่างก็จะดูอบอุ่นสดใส แต่บริเวณด้านมืดก็กลับดูหดหู่น่ากลัวชวนสยอง เป็นการดึงเรื่องอารมณ์เข้ามาใช้กับเกมได้ดีทีเดียว
ด้านดนตรีประกอบก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ทางตัวเกมได้เรียกทาง Basiscape ที่เคยผ่านผลงานในแฟรนไชส์ Odin Sphere ให้มารับหน้าที่ในครั้งนี้ โดยมีการตั้งคอนเซ็ปต์คือแนว “ดนตรีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น” เราจึงจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดั้งเดิมผสมผสานกับรูปแบบเทคโน ผลสรุปที่ได้คือความลงตัวแบบสุดๆ
นอกจากระบบเกมเพลย์แล้วก็คงเป็นสองสิ่งนี้นี่ล่ะที่เป็นอีกปัจจัยให้ตัวเกมประสบความสำเร็จมาถึงขนาดนี้
หนทางแห่งดาบและทางเลือกของฉากจบ
ขนาดชื่อเกมยังมีคำว่า The Demon Blade แน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวกับเหล่าดาบปีศาจเป็นหลักอยู่แล้ว แต่ถ้าหากใครคิดว่าภายในเกมมีดาบเพียงไม่กี่เล่มนั้นต้องบอกเลยว่าคุณคิดผิด! เพราะถ้าอยากตามหาให้ครบแล้วล่ะก็ เพื่อนๆ ต้องดำเนินเรื่องราวเพื่อรวบรวมดาบให้ครบทั้ง 108 เล่มเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่การรวบรวมให้ครบเท่านั้น การเลือกใช้ดาบก็เป็นอีกหนึ่งตัวกำหนดเนื้อเรื่องด้วยเช่นกัน เนื่องจากฉากจบบางฉากนั้นจะมีข้อกำหนดว่าต้องใช้ดาบเล่มนี้สู้กับบอสเท่านั้นถึงจะปลดล็อคได้นะ สำหรับใครที่ไม่ชอบความยุ่งยากเล่นจบคือจบไม่ตามเนื้อเรื่องให้ครบก็คงไม่เท่าไหร่นัก แต่กับใครที่พยายามเคลียร์ให้ครบนี้ค่อนข้างหนักหนาระดับนึงเลยทีเดียว เพราะดาบบางเล่มวิธีการปลดล็อคไม่ใช่ง่ายๆ เลย มันจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เราสามารถพบได้ภายในเกมนั่นเอง
ข้อเสียล่ะ?
พูดถึงข้อดีไปหลายอย่างแล้วถ้าไม่พูดถึงข้อเสียบ้างคงไม่ได้ล่ะนะ อย่างแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าตัวเกมทำออกมาได้ค่อนข้างแย่คือ “การเดินทาง” ถึงแม้ในเกมจะมีระบบการเซฟหรือ Fast Travel แต่ถึงอย่างนั้นก็ไปได้แต่ตามเมืองต่างๆ การจะวิ่งไปยังแผนที่ภารกิจนั้นต้องตะลุยฝ่าไปอีกค่อนข้างหลายแมพมากเลย ซึ่งมันใช้เวลาค่อนข้างนานในระดับนึง
อย่างที่สองคงเป็น “รูปแบบการโจมตี” ถึงแม้ภายในเกมจะมีดาบทั้งหมด 108 เล่ม แต่ก็มีการแบ่งออกเป็นแค่ ดาบสั้น กับ ดาบยาว ทำให้ท่าทางการโจมตีต่างๆ ค่อนข้างซํ้าซากต่างกันเพียง Secret Art เท่านั้นเอง แต่ก็นะเกมเขาเน้นธีมเกี่ยวกับเรื่องของดาบ ถ้าจะให้มีใช้ปืนใช้ธนูมันก็คงผิดคอนเซ็ปต์เกมไปน่ะแล่ะ
อย่างสุดท้ายเลยที่ขัดใจมากคือ “เหล่ามอนสเตอร์” ในส่วนของบอสนั้นออกแบบมาค่อนข้างดีนะ แต่กับพวกลูกกระจ๊อกนั้นกลับเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก เพราะเราจะเจอหน้าเดิมๆ ซํ้าๆ ตั้งแต่ต้นไปยันท้ายเกมเลย มันเลยเป็นความน่าเบื่อเวลาต้องผ่านแผนที่แล้วเจอเจ้าพวกนี้โผล่ออกมา เพราะมันจะไม่มีอะไรดึงดูดให้ตีพวกมันนั่นเองออกมาให้อารมณ์เสียซะมากกว่าหลังๆ น่ะ
ความคิดเห็นต่อเกม
ถ้าถามว่าครั้งแรกที่เล่นเกมนี้คิดยังไงน่ะหรอ? คงต้องบอกว่า “ชอบ” ครับ แล้วถ้าถามว่าชอบตรงไหนคงต้องบอกว่า “เนื้อเรื่อง” เลย ตอนเล่นผมตามอ่านเนื้อเรื่องตลอดแล้วค่อนข้างอินมากทีเดียว โดยเฉพาะหลังเล่นจบไปแล้วพอรู้ว่ามันมีจบมากกว่าหนึ่งแบบนี่ถึงกับเปิดเกมวนเล่นใหม่ยาวๆ เลย
รองลงมาคงเป็นด้านสไตล์ภาพ อย่างที่ผมได้แนะนำไปตอนต้นว่าในเกมมีการใช้ลักษณะลายเส้นพู่กันประกอบด้วย ซึ่งมีการนำมาใช้ในส่วนของสกิลอีกต่างหาก มันเลยทำให้เวลาเราใช้ท่าทางต่างๆ มันเลยดูค่อนข้างรุนแรงสะใจในระดับนึงเลยล่ะ แถมสวยอีกด้วย
เป็นอีกหนึ่งเกมในดวงใจที่ผมลุ้นอยากให้ทำภาคต่อหรือไม่ก็รีเมคมากเลยทีเดียว ส่วนเพื่อนๆ คนไหนเคยได้เล่น Muramasa : The Demon Blade กันมาก่อนก็สามารถมาเล่าความหลังให้ฟังกันได้นะ ชอบไหนอะไรยังไง มาคอมเมนต์เพิ่มเติมได้เช่นเคยจ้า