Borderlands The Pre-sequel
ช่วงแนะนำเกมสไตล์ขา Co-op ในคราวนี้ก็จะมาพูดถึงเกมในเครือ 2K และ Gearbox Software เกมหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันในพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับดังปุ้งปั้ง กับ Borderland หรือแถกันว่าถิ่นชายแดน เกมแนว FPS ผสม RPG ที่มีเนื้อเรื่องในแบบสีเทาเป็นของตัวเอง เจ้าตัวเกมที่จะทำการพูดถึงในครั้งนี้ก็จะเป็นส่วนของภาคต่อ Borderlands The Pre-sequel นั่นเองจ้า
Steam : Borderlands: The Pre-sequel
Review Borderlands The pre-sequel
ตัวเกม pre-sequel นั้น ทาง 2K Australia ที่เป็นสาขาย่อยได้เป็นผู้รับบทบาทในการจัดทำตัวเนื้อหาต่างๆ ของภาคนี้หลังจากที่ภาค 2 ทำหน้าที่ได้ดีและออกมาถูกอกถูกใจขา FPS RPG Co-op กันเป็นอย่างมาก ตัวเนื้อเรื่องของ pre-sequel นั้นก็จะเป็นดังชื่อเลย คือเป็นการเล่าไปถึงเนื้อหาก่อนที่จะเกิดเนื้อเรื่อง Borderlands ภาค 1 และ 2 ที่เราเล่นกันไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง
หลักๆ แล้ว ตัวเกมนั้นแทบจะดึงเอาระบบต่างๆ ในภาค 2 รวมถึง Engine มาใช้ในการทำ การเล่นจึงแทบจะไม่ต่างกับสมัยการเล่นภาค 2 เลยก็ว่าได้ ก็ถือว่าเป็นจุดที่โดนเฉ่งและเป็นจุดที่เรียกว่าพอจะโอเคในระดับที่รับได้อยู่ ประกอบกับราคาของตัวเกมที่แพงกว่าภาค 2 เสียอีก ทำให้แฟนๆ เกมนี้แบ่งได้ชัดเป็นฝ่ายที่โอเคกับไม่โอเค (ฮา)
เนื้อเรื่อง
ในด้านของเนื้อเรื่องภาคนี้นั้น จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงก่อนหน้าของภาค 1-2 อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้เล่นที่เล่นภาค 1-2 มาก่อนนั้นจะค่อนข้างเข้าถึงและสนุกกับเนื้อเรื่องได้มากกว่า โดยเฉพาะมุกต่างๆ บ้างก็ทำให้คนเล่นเก่าฮาออกมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้เล่นที่พึ่งเล่นมาจับภาคนี้จะไม่เข้าใจเลย ตัวเกมก็ยังอธิบายให้ผู้เล่นใหม่จับต้นชนปลายได้ง่าย รวมถึงการแสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของตัวละครอีกด้วย
เนื้อเรื่องนั้นจะเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผู้เล่นได้ตอบรับคำขอของ Handsome Jack โปรแกรมเมอร์คนหนึ่งในบริษัท Hyperion ในการตามหา “Vault” หรือคลังสมบัติ/อาวุธโบราณและเป็นฮีโร่ไปด้วยกัน ในขณะเดียวกันทาง Hyperion ก็ได้ถูกกลุ่ม Lost Region โจมตีและต้องหนีตายไปยังดวงจันทร์ Elpis ก่อนจะหาทางกู้สถานการณ์กลับคืนมาเพื่อที่จะได้ตามหา Vault กันตามกำหนดการเดิม
สิ่งที่น่าสนุกของเกมแนวภาคต่อแบบ RPG นั้นคือการที่เราจะได้เห็นการเปลี่ยนไปของตัวละครต่างๆ ที่เราเคยรู้จัก ซึ่งภาคนี้ก็จะแสดงให้เราได้เห็นการเปลี่ยนไปของ Jack หรือที่มาที่ไปและจุดกำเนิดของตัวละครที่เกี่ยวข้องต่างๆ กันได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว
จุดที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งคือการที่บุคลิค การพูดน้ำเสียงต่างๆ ของเหล่า NPC นั้นอ่อนลงไปมาก เรียกได้ว่าสำเนียงนั้นแทบจะซ้ำกันไปหมด ตัวเนื้อหาของ Quest และตัว Side Quest ต่างๆ เองก็น้อยลงและค่อนข้างกร่อยเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่างภาค 2 ช้ำร้ายที่เจ็บที่สุดคือการที่เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เล่นได้เมื่อเทียบกับภาค 2 แล้วยังจะน้อยกว่าเสียอีกแม้จะคิดจากตัวเกมหลักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการนำเสนอเนื้อเรื่องถ้ามองกันอย่างแฟร์ๆ แล้วก็ยังถือว่าโอเค มีการเล่าและจับเรื่องที่ดีอยู่ พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของตัวละครหลักและเนื้อเรื่องได้โอเคเลยทีเดียว ตัวละครเองก็มีประโยคในการตอบรับกับเนื้อเรื่องเฉพาะของตัวเอง (แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบรับเฉพาะของแต่ละคนในเนื้อเรื่อง อันที่จริงบางส่วนก็น่าจะมีแยกเฉพาะให้ ไม่ต้องถึงกับทั้งหมดก็ได้)
ระบบในเกม
ด้านของระบบในเกมนั้น แม้จะถอดแบบมาจากภาค 2 ครบทุกทวงท่า ไม่ว่าจะเป็นการเล่นพื้นฐาน ร้านขายของ ระบบ Quest หรือ ไอเท็มต่างๆ ในส่วนของผู้เล่นใหม่ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจซักนิด แต่โดยรวมนั้นตัวเกมยังคงมีความเป็น RPG ที่ให้ผู้เล่นได้เก็บ Level และ Up Skill เพิ่มความสามารถในตัวละคร การตามหาไอเท็ม ฟาร์มเอาจากศัตรูหรือซื้อจากในร้านเพื่อให้สู้ศัตรูได้ง่ายขึ้นนั้นยังอยู่ครบถ้วนในรูปแบบ FPS ที่ลงตัว
แม้ว่าจะถอดแบบกันมา แต่หลายๆ ส่วนก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านของความเสียหายที่ผู้เล่นสามารถทำได้ผ่านทางสกิลที่ไม่ใช่อาวุธนั้น เรียกว่าดีขึ้นจนใช้การได้ การนำธาตุ Slag ที่เป็นตัวคูณความเสียหายเพิ่มออก ก็ช่วยในด้านการปรับให้เลือดของศัตรูช่วงท้ายเกมนั้นไม่เยอะจนบังคับให้ต้องติด Slag ก่อนอีกต่อไป
ในภาคนี้เองก็เพิ่มธาตุน้ำแข็งเข้ามาแทน Slag ที่มีส่วนช่วยในการเล่นเป็นอย่างมาก (และไม่จำเป็นต้องใช้ก็เล่นได้สบายๆ) ตัวรถในเกมก็มีการเพิ่มชนิดของรถที่แตกต่างกันและให้ความอิสระกับผู้เล่นมากขึ้น รวมถึงเจ้า Grinder ที่สามารถใช้ในการสุ่มหาไอเท็มที่ดีกว่าเดิมได้จากการนำเอาไอเท็ม 3 ชิ้นมาย่อยทิ้งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ตัวเกมยังได้เพิ่มส่วนของสููญญากาศและแรงดึงดูดที่น้อยลงบนดวงจันทร์มา ทำให้การเล่นมีลูกเล่นมากขึ้นไปอีก
ในส่วนของตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวที่เล่นได้ก็จะเป็นตัวละครใหม่ทั้งสิ้น และเป็นตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในภาค 1-2 เช่น Claptrap สุดแสบหรือ Wilhelm ที่ได้พบกันในภาค 2 ทำให้ผู้เล่นเก่าเองก็ได้เห็นลักษณะนิสัยแบบกว้างขึ้นของตัวละครนั้นในตัว พร้อมกับ Skill ของแต่ละคนที่แสดงความเป็นตัวละครนั้นได้ดีทีเดียว
DLC
พูดถึง Borderlands แล้วจะขาด DLC นั้นคงไม่ใช่เรื่อง และสำหรับในเกมนี้นั้น DLC เจ็บๆ อย่างการเพิ่ม Level Cap ให้สูงขึ้นหรือเปิด Mode ระดับยากสุดเหนื่อยสุดให้เล่นก็อยู่ใน DLC ทั้งนั้น (แย่มาก!) แต่ก็จะมี DLC ที่เป็นเนื้อเรื่องเสริม เนื้อเรื่องบ้าบอคอแตกให้ผู้เล่นเข้าไปแจมเพลินได้อย่างคุ้มค่าที่จ่ายไปอยู่
ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าทางตัว 2K Australia ผู้พัฒนาภาค pre-sequel นั้นได้ปิดตัวลงแล้วเนื่องจากสู้ภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ทำให้ไม่มี DLC อะไรเพิ่มเติมอีกนอกจากที่มีก่อนปิดตัวลง DLC ชูโรงของภาคนี้ก็จะไม่พ้น Claptastic Voyage ที่ช่วยกู้หน้าให้อยู่ เจ้าตัว DLC ตัวนี้จะเป็นเนื้อเรื่องส่วนต่อจากเนื้อเรื่องหลัก (แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นก็ได้ ไม่ได้ส่งผลกับการเข้าใจเนื้อเรื่องเชื่อมต่อกันของแต่ละภาคขนาดนั้น) และมีความจัดเต็มเหมือนจะชดเชยที่ทำตัวเกมหลักไว้ไม่สุดมาก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเรื่องราวหรือการเพิ่มเติมไอเท็มอีกหลายๆ ส่วนที่ทำให้ตัวเกมดูสมบูรณ์ขึ้นมาก
สรุปการ Review Borderlands The Pre-sequel
ถ้าจะว่ากันสั้นๆ แล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อสำหรับแฟนๆ Borderlands จะเหมาะกว่าการเริ่มเล่นเป็นภาคแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องและที่มาที่ไปของตัวละคร หากรู้มาก่อนจะทำให้สนุกมากขึ้น และถ้าไม่เกรงใจก็คงต้องบอกว่า ภาค 2 ค่อนข้างคุ้มกว่ามาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่คิดจะเริ่มเล่นเกมซีรี่ย์นี้
อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อเรื่องและเนื้อหาในการเล่นจะน้อยลง แต่ความสนุกกับตัวระบบของเกมกลับดีขึ้นและมีอิสระมากกว่า ทำให้รู้สึกว่ามีความแตกต่างและสนุกอยู่ในตัวภาคของมันเองอยู่
▲ จุดเด่น
– มีการปรับปรุงจากภาค 2 หลายๆส่วน
– มีอิสระในการจัด Build การเล่นที่มากขึ้น
– เนื้อหาที่เกี่ยวกับตัวละครในภาคก่อนๆ ทำให้แฟนๆ เล่นได้สนุก และทำมาให้ผู้เล่นใหม่ก็เล่นได้สนุกเช่นกัน
– ความเป็น FPS RPG ที่ลงตัวยังมีอยู่ครบและดีขึ้น
– ระบบสูญญากาศและแรงดึงดูดต่ำ เพิ่มความหลายหลากตอนเล่น
– Co-OP!
▼ จุดด้อย
– ผู้พัฒนาปิดตัวลงแล้ว ทำให้ไม่มีการ update / dlc เพิ่มอีก
– เนื้อหาน้อยกว่าภาค 2 อย่างชัดเจน
– มีความ Reuse ชนิดของศัตรู สภาพแวดล้อม เนื้อหา Quest หรือสำเนียง NPC ไม่หลากหลาย
– ยังคง Concept ขายเนื้อหาผ่าน DLC (เพิ่ม Level Cap และ Mode ความยากสุดท้าย)
– ไอ้การไม่ติดไฟในสูญญากาศนี่มันทำให้กร่อยไปเลย