เกมไฟท์ติ้งคืออีกหนึ่งรูปแบบเกมที่ได้การยอมรับจากเหล่าแฟนๆ พร้อมทั้งยังได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งได้มีการนิยามไว้ว่าเป็นเกมการต่อสู้แบบระยะประชิด ภายในสนามการแข่งขันอันมีพื้นอย่างจำกัด โดยเงื่อนไขการชนะคือการน็อคคู่ต่อสู้หรือจนกว่าเวลาจะหมด โดยเกมไฟท์ติ้งเกมแรกได้ถือกำเนิดขึ้นมาก็คือ Heavyweight Champ ที่ลงให้กับเครื่องตู้เกมอาเคตเมื่อปี 1976 นั่นเอง
ซึ่งด้วยสไตล์การเล่นเอาเข้าถึงอารมณ์ของเหล่าผู้เล่น จึงทำให้ผู้พัฒนาหลายๆ ค่ายเริ่มจะดึงเอาจุดเด่นนี้มาพัฒนาเกมในสไตล์ของตนและก่อกำเนิดเกมไฟท์ติ้งออกมาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Street Fighter, Tekken, Super Smash Bros, Dead or Alive หรือแม้แต่ Mortal Kombat เองก็ตามที เกมเหล่านี้ล้วนมีความเป็นมาที่ยาวนานและยังคงได้รับความนิยมตราบจนถึงปัจจุบัน
และในบทความนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับอีกหนึ่งแฟรนไชส์ไฟท์ติ้งสุดมันส์ กับจุดเด่นการแปลงร่างเป็นสัตว์พร้อมเข้าหํ้าหั่นกัน ผมว่าหลายๆ คนพอจะเดากันได้แล้วใช่ไหมล่ะว่านั่นคือเกมอะไร ใช่แล้วครับเกมนั้นก็คือ Bloody Roar นั่นเอง เอาล่ะทีนี้เรามาทำความรู้จักกับตัวเกมกันให้มากขึ้นกันดีกว่า
Bloody Roar คือเกมอะไร
อีกหนึ่งแฟรนไชส์เกมไฟท์ติ้งถือกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงปี 1997 กับชื่อที่เกมเมอร์ในสมัยนั้นน่าจะรู้จักกันดีกับ Bloody Roar (ブラッディロア) ผลงานการสร้างจากทางค่าย Hudson Soft ซึ่งได้มีตัวแทนวางจำหน่ายมากมายทั้ง Virgin Interactive, Activision, SCEA และ Konami ก่อนในภายหลังสิทธิ์การถือครองของแฟรนไชส์ดังกล่าวจะตกไปอยู่ในมือของ Konami อย่างถูกต้อง เนื่องด้วยจากทางค่ายทีมผู้พัฒนาได้ถูกซื้อต่อและรวมไปอยู่ภายในเครือนั่นเอง
สำหรับภาคแรกได้มีการลงให้เครื่องอาเคตในประเทศญี่ปุ่นรวมถึงทางสหรัฐอเมริกาในอีกชื่อว่า Beastorizer เมื่อปี 1997 ก่อนจะมีการพอร์ตมาลงให้กับเครื่อง PlayStation ภายในปีเดียวกัน โดยจุดเด่นของตัวเกมคือการที่ทุกตัวละครภายในเกมสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้กันได้ ซึ่งไม่ได้เพียงแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังจะมีการเพิ่มท่าทางต่างๆ รวมไปถึงท่าไม้ตายใหม่เข้ามาเสริมให้อีกด้วย
ตัวเกมได้มีการพัฒนาออกมาทั้งหมด 4 + 1 ภาค (4 ภาคหลักและ 1 ภาคพิเศษ) สำหรับตัวเกมทั้งสี่ภาคนั้นได้มีการลงให้กับเครื่องอาเคตและ PlayStation เสมอมายกเว้นในภาคสุดท้ายหรือภาค 4 ที่ได้มีการวางจำหน่ายเฉพาะกับเครื่อง PlayStation 2 เมื่อปี 2003 และภาคพิเศษซึ่งได้มีการพอร์ตไปลงให้กับเครื่อง Xbox เมื่อปี 2002 นั่นเองครับ
เนื้อเรื่องภายในเกม
โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องทั้งสี่ภาคจะเน้นเนื้อหาไปทางตัวเอกอย่าง Yugo Ogami (ยูโก โอกามิ) ชายหนุ่มผู้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ โดยในแต่ละภาคก็จะมีพล็อตและเนื้อหามุ่งเน้นแตกต่างกันไป ยังไงเราก็ลองมาดูเนื้อเรื่องย่อกันดีกว่าว่าแต่ละภาคเป็นยังไงบ้าง
ภาคแรก – ว่าด้วยเรื่องราวการตามหาความจริงเมื่อ Yugo ได้ค้นพบความลับบางอย่างเกี่ยวการตายของผู้เป็นบิดา Yuji Ogami (ยูจิ โอกามิ) และทำการออกเดินทางจนได้ไปพบกับ Gado (กาโด้) ผู้สามารถกลายร่างเป็นสิงโต รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในอดีตเพื่อนร่วมทีมบิดาของตนอีกด้วย
ก่อนจะค้นพบความจริงอันชื่อมโยงไปถึงองค์กรลับนามว่า Tyron องค์กรที่คอยทำการนำเหล่าผู้กลายร่างมาทำการทดลอง พร้อมทั้งล้างสมองเพื่อใช้เป็นอาวุธ จึงทำให้ตัวของเขาตัดสินใจเลือกทำลายล้างองค์กรนี้ลงซะ
ภาคสอง – เนื้อเรื่องจะว่าถึงเหตุการณ์ 5 ปีถัดมา เมื่อโลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของเหล่าผู้กลายร่างและมองว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นภัยอันตราย ทำให้เกิดการหวาดระแวงจนลุกลามไปเป็นการปะทะกันบ่อยครั้ง ส่งผลทำให้ต้องมีการจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่า ZLF เพื่อออกมาคอยปกป้องและคอยควบคุมเหล่าผู้กลายร่างกันเอง
แต่ความจริงแล้วหัวหน้าขององค์กรนาม Shenlong (เชนลอง/เฉินหลง) นั้นมีเป้าหมายชั่วร้ายที่ต้องการจะใช้อำนาจเหล่านี้ในการยึดครองโลก ทำให้ตัวของ Gado ได้รวบรวมสมาชิกที่ไว้ใจได้มาทำการโค่นล้มองค์กร เพื่อจะทำให้เกิดความสงบสุขอย่างแท้จริงขึ้นระหว่างมนุษย์และเหล่าผู้กลายร่างนั่นเอง
ภาคสาม – ได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่ในชื่อ W.O.C องค์กรที่มีเป้าหมายเพื่อจะรักษาความสงบสุขระหว่างสองเผ่าพันธุ์อย่างแท้จริง ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะราบรื่บไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งหนึ่งปีให้หลัง เมื่อเหล่าผู้กลายร่างเกิดการติดเชื้อของสิ่งที่เรียกว่า X-Genome ทำให้ผู้ได้รับเชื้อนี้ไปนั้นเกิดอาการคลุ้มคลั่งพร้อมทำการโจมตีเข้าใส่คนรอบข้าง ทำให้ทางองค์กรต้องออกมาค้นหาว่าต้นตอของเชื้อดังกล่าวนั้นมาจากที่ใดกัน
จนได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วเชื้อเหล่านี้เกิดจากฝีมือของชายชื่อ Xion (ชิออน) ผู้มีสิ่งที่เรียกว่า Unborn (อันบอร์น) อยู่ภายในร่าง ทำให้เขามีพลังอันมหาศาลบวกกับฝีมืออันเก่งกาจทำให้เป็นศัตรูอันต่อกรได้ยากมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นทางองค์กรก็จำเป็นจะต้องหาหนทางที่จะหยุดชายผู้นี้ให้ได้ ก่อนเหตุการณ์ทั้งหมดจะรุนแรงและลุกลามไปมากกว่านี้
ภาคสี่ – เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคก่อน Xion ได้ทำการบุกไปยังวัดแห่งหนึ่งพร้อมทั้งปลดปล่อยมังกรออกมาจากผนึกคุมขัง โดยหวังจะใช้มันเป็นอาวุธเพื่อทำลายโลกใบนี้ลง แต่ด้วยการเสียสละของมิโกะคนหนึ่งจึงทำให้สามารถผนึกมังกรตัวดังกล่าวลงได้อีกครั้งนึง ทำให้แผนการชั่วร้ายดังกล่าวล้มเหลวลงและนำกลับมาซึ่งความสงบสุขอีกครั้งนึง
หนึ่งปีให้หลังเพราะสาเหตุบางอย่างทำให้ผนึกดังกล่าวเกิดการสั่นคลอนอีกครั้ง ส่งผลให้พลังด้านมืดแผ่ออกมาและทำให้เหล่าผู้กลายร่างคลุ้มคลั่งเหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้ทางวัดดังกล่าวต้องขอความช่วยเหลือจาก W.O.C ในการค้นหาต้นตอถึงสาเหตุที่ผนึกนั้นเสื่อมลง เพื่อจะได้หยุดยั้งไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมอย่างที่ Xion ต้องการจะให้เกิดนั่นเอง
ความโดดเด่นของตัวเกม
อย่างได้กล่าวไปตอนต้นว่าแฟรนไชส์นี้คือเกมแนวไฟท์ติ่งที่ทุกตัวละครสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้กันได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของตัวเกมมีหรอกนะ สำหรับใครไม่เคยสัมผัสกับแฟรนไชส์นี้มาก่อนอาจจะคิดว่า “แปลงร่างแล้วยังไง? ก็แค่แปลงร่างป่ะ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกนิ” ถ้าเกิดใครคิดอย่างนั้นอยู่ล่ะก็ต้องบอกเลยว่าผิดถนัดทีเดียว เพราะตัวเกมได้มีการดึงเอาจุดเด่นของสัตว์แต่ละชนิดมาใช้อย่างชัดเจนเลย
ยกตัวอย่าง Yugo เลยแล้วกัน โดยปกติในร่างของมนุษย์นั้นชายผู้นี้จะมีลักษณะการต่อสู้คล้ายกับนักมวย เน้นไปทางด้านโจมตีด้วยหมัดชุดเป็นหลัก แต่พอเวลากลายร่างเป็นหมาป่าจะมีการเสริมท่าทางการต่างๆ ทั้งการใช้กรงเล็บ เขี้ยว รวมไปถึงท่วงท่าการใช้ขาเข้ามา เป็นการดึงเอาจุดเด่นของหมาป่าเข้ามาเสริม
จึงพูดได้ว่าแต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์เพิ่มเติมตามสัตว์ประเภทนั้นๆ ส่งผลทำให้มีการเพิ่มท่าทางการโจมตีใหม่เข้ามารวมไปถึงในส่วนของท่าไม้ตายด้วย ทำให้เมื่อตัวเกมได้มีการเปิดตัวครั้งแรกจึงได้รับความนิยมจากเหล่าแฟนๆ ไปมากทีเดียว
เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับตัวเกม
• Bloody Roar มีการทำตัวเกมออกมาทั้งหมดด้วยกัน 4 + 1 ภาค แต่ภาคที่ได้รับเสียงตอบรับดีที่สุดคือภาค 2 เหตุผลนึงด้วยเพราะมีการเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามาถึง 5 ตัวพร้อมกัน โดยสามารถทำยอดขายไปได้ทั้งหมด 460,000 ชุด
• มีตัวละครโผล่มาภายในเกมด้วยกันทั้งหมด 20 ตัว แต่มีอยู่ 3 ตัวละครได้ถูกนำออกหลังจากจบในภาคแรกไปได้แก่ Fox (ฟ็อกซ์) – สุนัขจิ้งจอก, Greg (เกร็ก) – กอริลล่า และ Mitsuko (มิตสึโกะ) – หมูป่า ทำให้สุดท้ายแล้วในภาค 4 เราจะได้เล่นตัวละครทั้งหมดเพียง 17 ตัวเท่านั้น
• ตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดประจำแฟรนไชส์ได้แก่ Long (ลอง/หลง) ผู้กลายร่างเป็นเสือโคร่ง กับท่าโจมตีอันโด่งดังอย่าง Renshu Houdou หรือบ้านเราเรียกกันติดปากว่า “คอมโบ 18 หมัด” เป็นการร่วมลงผลคะแนนโหวตอย่างไม่เป็นทางการจากเหล่าผู้เล่นทั่วทั้งโลก
• ตัวละคร Bakuryu (บาคุริว) ผู้แปลงร่างเป็นตัวตุ่นนั้นจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสองคน เนื่องจากบาคุริวในภาคแรกได้ถูกพิษของตัวคิเมราทำให้ตายลงไป และ Kenji (เคนจิ) น้องชายบุญธรรมของ Yugo ได้ถูกลักพาตัวไปในช่วงของภาคที่สองและผ่าตัดให้กลายเป็นรุ่นต่อมานั่นเอง
• สำหรับในภาค 4 นั้นโดนวิจารณ์ออกมาในแง่ลบพอสมควร ด้วยเนื้อเรื่องดูไม่น่าสนใจ ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็ไม่โดดเด่นอะไร ซํ้ายังถูกหาว่าเป็นเหมือนกับการ Downgrade ของตัวเกมในภาค 3 อีกด้วย ส่งผลทำให้ยอดขายไม่ได้อย่างที่หวังและทำให้เป็นการจบตำนานของ Bloody Roar ไปโดยปริยาย
• ตัวเกมเคยถูกนำหยิบไปวาดเป็นมังงะโดยเป็นผลงานของอาจารย์ Maruyama Tomowo ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ให้กับนิตยสาร Shonen Jump ฉบับรายเดือน โดยได้มีการรวมออกมาเป็นมังงะ 2 เล่มด้วยกันในช่วงปี 2001
• ได้มีข่าวลือเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่าทาง Konami มีแผนจะหยิบแฟรนไชส์นี้กลับมาอีกครั้งนึง อาจจะเป็นการทำภาคต่อหรือไม่ก็อาจเป็นการีเมคเหมือนหลายๆ เกมทำกันเป็นปกติในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีการยืนยันว่าข่าวลือดังกล่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่
ซึ่งผมเองก็เป็นอีกคนนึงที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์นี้เลยก็ว่าได้ ได้สัมผัสครบทุกภาคก็คงพูดได้ว่าแอบเสียดายเหมือนกันพอรู้ว่าตัวเกมได้หยุดพัฒนาไปแล้ว เหตุผลนึงก็เข้าใจเพราะในภาค 4 มันเริ่มออกทะเลอย่างที่หลายๆ คนวิจารณ์กันอย่างการปรากฏตัวของ Nagi (นากิ) หญิงสาวผู้กลายร่างเป็นสัตว์ปีศาจเรียกว่า Spurious (สพูเรียส) เองก็ตามที
ตัวละครอื่นๆ นั้นจะมีการแปลงร่างเป็นสัตว์อย่างชัดเจน แต่กับตัวละครนี้หลังจากแปลงร่างแล้วแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย มีเพียงแค่แขนขวาที่มีดาบงอกออกมาก็เท่านั้นเอง เลยทำให้ตัวละครนี้เหมือนดูหลุดออกมาจากคอนเซ็ปต์ของตัวเกมยังไงก็ไม่รู้ และก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วยรึเปล่าจึงทำให้ตัวเกมในภาคสุดท้ายนั้นไม่ได้การตอบรับอย่างที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็คงไม่สามารถรับรู้ได้อยู่ดีว่าสุดท้ายแล้วเป็นเพราะเหตุผลอะไรกันแน่
แต่ก็ต้องยอมรับว่า Bloody Roar ถูกยกให้เป็นแฟรนไชส์เกมไฟท์ติ้งในดวงใจของใครหลายคนไปแล้วในทุกวันนี้ สำหรับเกมเมอร์รุ่นใหม่ๆ อาจจะเกิดไม่ทันหรือไม่รู้จักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะครั้งสุดท้ายตัวเกมออกมาก็กว่า 17 ปีแล้วทีเดียว แต่ถ้าเกิดใครมีคนรู้จัก เพื่อน ญาติ พี่น้อง ที่ยังมีเครื่องและแผ่นเกมอยู่ ลองหยิบขึ้นมาเล่นดูกันสักครั้งก็ได้นะรับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่าแน่นอน!