หลายๆ คนที่เล่นเกม Stardew Valley นั้นเชื่อได้ว่าหลงใหลในเสน่ห์ของการทำฟาร์ม รวมถึงความชิวและบรรยากาศที่รื่นเริงในโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุขไกลจากตัวเมือง ไม่มีความเร่งรีบ(?)และการต่อสู้ลงดันตีมอนดุเดือด แต่ถ้าว่ากันแล้ว ตัวเกมนั้นมีความเหมือนจริงขนาดไหนกัน? กับการที่ลาออกจากการใช้ชีวิตในบริษัทเพื่อมาตะลุยความฝันบนผืนดินที่รกร้างในไร่ที่อยู่ห่างไกลนี่กัน?
Stardew Valley ในชีวิตจริง
จากที่ครั้งก่อนนั้นเคยได้พูดถึงคุณ [ Samuel ] ชายผู้ตัดสินใจทิ้งชีวิตชาวเมืองสู่ชาวไร่กันไปแล้ว ในครั้งนี้ก็เป็นการสัมภาษณ์ชาวไร่ตัวจริง คุณ Timothy Danley โดยทาง PC Game News กับคำถามที่หลายคนอาจจะคาใจกันอยู่ไม่น้อยว่า “Stardew Valley นั้นเทียบกับในชีวิตจริงนั้น เหมือนกันแค่ไหน?”
ในเกมนั้น เพื่อนๆ ต่างใช้เวลาอยู่บนฟาร์มขนาดใหญ่ เช้ามาก็รดน้ำต้นไม้ เก็บเกี่ยวผลที่สุกงอมแล้ว ก่อนจะโยนลงกล่องเพื่อขายต่อไป ถ้ามีเวลาเหลือก็อาจจะเดินดุ้งๆ เข้าเมืองไปอี๋อ๋อกับคุณหมอรูปหล่อในเมืองหรือมอบดอกไม้ให้สาวๆ ในเมืองที่หมายตาอยู่ ชีวิตช่างสุขขีเสียนี่กะไร ซึ่งถ้าแน่นอนว่าต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตชาวไร่นั่นก็เข้าใจได้ว่ามันไม่เหมือนกัน แต่มันจะแตกต่างกันขนาดไหนล่ะ ถ้ามีใครซักคนอยากผันตัวไปเป็นชาวไร่บ้าง ซึ่งคุณ Danley เองก็ไม่ได้เป็นเหมือนกับตัวละครในเกมที่ผันตัวมาจากชาวเมือง แต่เป็นชาวไร่มาตั้งแต่แรกจากรุ่นสู่รุ่น
“ไม่อ่ะ… ทำฟาร์มนี่เป็นอะไรที่ต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะ ต่อให้มีที่ดินอยู่แล้วก็เถอะ ก็ต้องจ่ายภาษีที่ดิน ไหนจากภาษีโรงเรือนด้วย ถ้าจะซื้อที่ใหม่ก็แล้วแต่สถานที่อีก อย่างที่ของผมนี่ก็ล่อไปกว่าหมื่นดอลล่าห์ต่อเอเคอร์เข้าไปแล้ว” คุณ Danley กล่าว “ต่อให้มีเงินสำหรับที่ดินและอุปกรณ์ต่างๆ มันก็ยังมีเรื่องของความรู้ในการทำฟาร์มอีก ซึ่งส่วนมากนั้นก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้และปฏิบัติกันร่วมปีกว่าจะสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมการทำฟาร์มถึงตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ผมเองก็จำได้ถึงกระทู้หนึ่งใน Reddit ที่เตือนไม่ให้ใครพยายามตั้งความหวังไว้สูงเกินไปที่จะมาแสวงโชคในเมืองใหญ่ การทำฟาร์มก็เหมือนกันแหละ”
งานนี้ก็บอกได้ว่าใครไม่ได้มีคนในครอบครัวทำฟาร์ม หรือมีเงินสำรองไว้ก็ใจสลายกันไป แต่ถึงอย่างนั้น หลายๆ อย่างในเกมก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด “แต่ในเรื่องของการใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ เกม Stardew Valley ก็สื่อได้เหมือนอยู่นะ” คุณ Danley บอกหลังจากเห็นผู้ถามหงอยไป “ตื่นมาในฟาร์มของตัวเอง ได้รู้จักกับทุกคนในเมือง ทำงานในแต่ละวัน มองดูสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปมันเกิดดอกออกผลหรือเป็นอย่างไรในตอนนั้น ตรงนี้ผมบอกได้เลยว่าผมชอบเรื่องพวกนี้ในเกมแล้วก็ชีวิตประจำวันของผมในตอนนี้มากเลย โดยเฉพาะการได้ทำของดองหรือเบียร์เนี่ย ภรรยาของผมกับตัวผมเองนี่ก็เป็นคนที่ชอบทำพวกอาหารเอง อย่างจับปลาในแม่น้ำมาทำอาหาร เลือกผักหรือผลไม้มาทำเป็นเครื่องกระป๋อง คือการได้อาศัยแบบพึ่งพาตัวเองได้เต็มที่มันเป็นอะไรที่สุดยอดเลย”
ชีวิตในฟาร์มจริงและฟาร์มเกม
ความรู้สึกในการเล่น Stardew Valley นั้น มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นส่วนมากหลงไหล และชอบในตัวเกมนี้ มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรของชาวเมืองในตัวเมืองเล็กๆ ประกอบไปกับการได้เห็นพืชผลงอกเงยขึ้นมาให้เก็บเกี่ยวไปขาย
การจีบสาวในเกมเป็นเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นจุดเด่นของตัวเกม และในจุดนี้คุณ Danley เองก็ชอบเช่นเดียวกัน “อันที่จริงผมก็เล่นโรลเพลย์เหมือนกันนะตอนที่เล่นแต่ละรอบเนี่ย อย่างครั้งหนึ่งผมเล่นเป็น The Witcher ที่ใช้ตัวละครผมสีขาว เล่นในฟาร์มแบบ Wilderness และจีบอบิเกล แต่สุดท้ายก็เหมือนจะกลับไปหาลีอาเหมือนเดิม อารมณ์ประมาณว่าผมชอบคนที่อารมณ์ประมาณนี้ ชอบไวน์เหมือนกัน ทั้งในเกมทั้งในชีวิตจริงเลย”
ในขณะที่คุณสามารถปลูกหัวบีทในวันจันทร์ก่อนที่มันจะเก็บเกี่ยวได้ในวันพฤหัส แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น เพราะพืชผักไม่ได้โตในระยะเวลาเป็นวัน แต่เป็นเดือน “ในฤดูใบไม้ผลินั้น คุณจะได้เห็นพวกเราขุด พรวนดินและหว่านเมล็ด ส่วนในฤดูร้อนจะเป็นช่วงที่พวกเราจัดการพวกศัตรูพืชตัวแสบทั้งหลาย ในฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่พวกเรายุ่งที่สุดจากการเก็บเกี่ยว ปิดท้ายด้วยฤดูหนาวที่เป็นช่วงที่พวกเรามีเวลาว่างมากที่สุด แต่ก็เป็นช่วงที่เราต้องนั่งบำรุงรักษาทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อมสำหรับปีต่อๆ ไป”
ฟาร์มของคุณ Danley นั้นกินพื้นที่กว่า 1800 เอเคอร์ ซึ่งเขาได้ปลูกพวกอัลมอนด์, ข้าว และอย่างอื่นเช่น ข้าวโพด, ดอกทานตะวันหรือฝ้ายด้วย ซึ่งถ้าจะให้เทียบขนาดแล้ว พื้นที่ฟาร์มของเขาก็พอๆ กับสนามฟุตบอล 900 สนามรวมกันนั่นล่ะนะ มันเป็นพื้นที่ที่กว้างมาก และต้องการการดูแลรักษาอยู่อย่างสม่ำเสมอ “อีกา ไก่งวง พวกหมาโคโยตี้ สามารถสร้างความพินาศให้กับฟาร์มได้ทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมถึงพวกกระรอกที่มาขโมยอัลมอนด์ไปกิน หรือตัวตุ่นกับหมูป่าที่ขุดไร่ให้กระจุยได้อีกนะ” ซึ่งในจุดนี้คุณ Danley เองก็ได้กล่าวถึงเรื่องหนึ่งที่เขาอยากได้จากในเกมมากๆ “ถ้าผมสามารถจัดการปัญหาไอ้ตัวพวกนี้ได้ด้วยหุ่นไล่กานะ ผมจะดีใจโคตรๆ เลย”
ฟาร์มในชีวิตจริงก็ทันสมัยกว่าที่คิดนะ
เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่า แล้วคุณ Danley เอาเวลาที่ไหนมานั่งเล่น Stardew Valley ระหว่างที่ต้องทำฟาร์มกว้างใหญ่ขนาดนี้ ไหนจะต้องมาเก็บเกี่ยว ไล่จัดการพวกโคโยตี้เส็งเคร็งที่มาถล่มไร่เพราะหุ่นไล่กาไม่ได้ช่วยอะไร แน่นอนว่าจะให้เขากินบูลเบอร์รี่เม็ดนึงแล้วมีแรงขึ้นมา 45 หน่วยไว้ต่อกรกับพวกมันต่อทั้งวันก็คงไม่ใช่ จากที่ผ่านมาความลำบากของชาวไร่ในชีวิตจริงก็ดูจะโหดร้ายไม่ใช่น้อยด้วย
อันที่จริง ต้องบอกว่าเทคโนโลยีของรถไถ Tractor นั้นไปไกลกว่าที่คนที่ไม่ใช่ชาวไร่จะคิดถึงมากถ้าไม่ได้คลุกคลีกับเรื่องนี้จริงๆ “หลักๆ เราจะใช้รถแทรคเตอร์นี่ล่ะทำงานหนักต่างๆ โดยอาศัยระบบ GPS ในการนำทางให้มันสามารถจัดการไปตามเส้นทางที่ต้องการได้ เพราะงั้นถ้าว่ากันตรงๆ ว่าถ้าไม่มีอะไรให้ทำระหว่างที่ต้องนั่งรอรถมันไถไป จะเป็นการฟังเพลง อ่านหนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่ คุณจะคลั่งเพราะว่างตายเอาเปล่าๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว Zelda Breath of the Wild ก็ออกระหว่างกลางฤดูที่ต้องปลูกฝ้ายพอดี … ผมก็เลยเล่นไปได้ครึ่งเกมได้แล้วระหว่างที่รอหว่านเมล็ดในพื้นที่ราวๆ 200 เอเคอร์นั่นแหละ”
ซึ่งถ้ามีอะไรซักอย่างที่คุณ Danley อยากเพิ่มไปใน Stardew Valley นั้น เขาก็อยากได้รถ Tractor นี่แหละ “ผมอยากได้รถพวกนี้เป็น mod หรือไม่ก็เป็นเนื้อหาในเกมหลัก ในช่วงปีหลังๆ อ่ะนะ” เขาบอก “ไม่ก็ติดอุปกรณ์ให้กับม้าก็ได้ เพื่อให้พรวนดินหรือหว่านเมล็ด เร่งสปีดในการหว่านหรือเก็บเกี่ยวซักหน่อย” ดูท่าทางว่าการต้องมาพรวนหรือโปรยเมล็ดจะเป็นงานที่น่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละนะ
ในช่วงที่ได้ทำการสัมภาษณ์คุณ Danley อยู่นั้น ก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นั่นหมายถึงว่าช่วงเวลาฟาร์มประจำปีกำลังจะสิ้นสุดลง เข้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต ช่วงที่เขาจะได้เห็นผลผลิตที่ลงทุนลงแรงไปผลิดอกออกผลออกมาให้ชื่นชม “มันก็ประมาณนั้นเลยล่ะ” คุณ Danley บอก “คุณพอจะนึกออกใช่ไหม ช่วงเวลาที่ฝนตกลงมาในฤดูใบไม้ร่วงลงมาชะให้ใบไม้มันร่วงหล่นไป ในขณะที่คุณกำลังจิบชาหรือกาแฟที่มีชินนาม่อนนิดหน่อยอยู่ อารมณ์มันจะประมาณนั้นพ่วงไปด้วยความรู้สึกที่คุณได้พยายามอย่างหนักมาเมื่อหลายต่อหลายอาทิตย์ก่อน กำลังจะจบลงและผ่านพ้นมันไปได้ซักที”
บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงนั้น เป็นหนึ่งในจุดที่ทั้งใน Stardew Valley และชีวิตจริงต่างเชื่อมโยงกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกถึงสิ่งที่ทำลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อยออกผล และชีวิตในเมืองเล็กๆ ต่างๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก มันเป็นฤดูที่คุณ Danley รู้สึกว่ามันช่างเหมือนกันจริงๆ “จะเพลงประกอบ จะใบไม้สีส้ม หรือจะเป็นทุ่งฟักทองก็เถอะ” เขากล่าว “มันคือความรู้สึกที่ปีนี้กำลังจะจบลงแล้ว และต้องเตรียมตัวรับปีต่อไป มันเหมือนกันจริงๆ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์กับทางชาวไร่ระดับฟาร์มใหญ่หรือมีอะไรหลายที่แตกต่างกับทางบ้านเราพอสมควร แต่ก็พอจะทำให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความแตกต่างของการใช้ชีวิตใน Stardew Valley และฟาร์มจริงๆ แตกต่างกันอย่างไร มันมีเรื่องราวที่ต้องคิดอีกมากก่อนที่หลายๆ คนจะตามควานฝันชาวไร่ไปลงสนามจริง และก็มีหลายอย่างที่ให้ความรู้สึกที่เหมือนกัน ซึ่งสำหรับคุณ Danley นั้น มันก็เป็นอีกเกมหนึ่งที่เขาจะไม่มานั่งจับผิดความแตกต่าง แต่ใช้เวลาที่เขามีในการผ่อนคลายในการทำงานเดียวกันที่แตกต่างกันในสองโลกต่างหาก และนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าเกมนั่นเอง สิ่งที่ช่วยให้เพื่อนๆ ได้ผ่อนคลายหรือเปลี่ยนบรรยากาศจากสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ