กลับมาต่อกับเกมของ Nikke เช่นเคยครับ โดยเรื่องที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ “เทคนิคแนะนำสำหรับผู้เล่นใหม่” น่ะเอง เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรที่เราควรู้หรือควรทำอะไรบ้างเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในราบรื่นขึ้นครับผม
ทำความเข้าใจระบบคลาสและธาตุของตัวละคร
อย่างแรกเลยที่อยากจะแนะนำในรายการนี้คือการทำความเข้าใจ “ตัวละคร” ของเราก่อนนั่นเองครับ เพราะถึงแม้รายละเอียดของตัวละครในเกมนี้อาจไม่ได้ลึกลับซับซ้อนเหมือนกันบางเกมแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นจุดที่ไว้ใช้วัดผลแพ้ชนะเวลาเราเล่นได้เลยล่ะ
โดยอย่างแรกเลยตัวละครภายในเกมนี้จะมีการแบ่งออกเป็น 3 คลาสด้วยกันคือ:
Attacker (สายโจมตี) – ตามชื่อเลยครับนี่คือสายที่เน้นไปทางการทำดาเมจให้กับทีมหรือก็คือ DPS นั่นล่ะ ซึ่งในบางครั้งเราก็สามารถเอาตัวละครสายนี้มายืนเป็นตัวชนได้ด้วยเช่นกันกรณีที่เราไม่มีตัวแทงค์จริงๆ นั่นละนะ ยิ่งในช่วงท้ายเกมที่ต้องมีการลุยบอสต่างๆ ตัวละครในสายนี้นับเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยล่ะ
Defenders (สายป้องกัน) – สายนี้ถ้าให้เรียกตรงๆ ก็คือตัวแทงค์นั่นล่ะครับ มีจุดเด่นคือเรื่องค่าพลังชีวิตและพลังป้องกันสูง มีหน้าที่ในการรับดาเมจให้กับทีมและปกป้องทีมจากดาเมจต่างๆ เท่าที่จะมากได้
Supporters (สายซัพพอร์ต) – ฝ่ายสนับสนุนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมจากความสามารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฮีลรักษาหรือบัฟก็ตามที โดยปกติแล้วตัวละครสายนี้จะมีค่าพลังโจมตีที่ตํ่ากว่าสายอื่นๆ แต่ก็แรกมากับสกิลสุดแสนประโยชน์แทนน่ะเอง
โดยนอกจากเรื่องคลาสแล้วก็ยังมีจะในส่วนของ “ระบบธาตุ” อยู่ซึ่งประกอบด้วย 5 ธาตุคือ ไฟ, นํ้า, ลม, ไฟฟ้า และ เหล็ก แน่นอนว่ามันก็จะมีในเรื่องของแพ้ชนะทางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะนะ หรือแม้แต่ในด้าน “สกิล” ก็จะมีแยกย่อยเป็น สกิลใช้งาน, สกิลติดตัว และ Burst สกิลเองด้วย
ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็ควรทำความเข้าใจระบบพวกนี้ไว้อย่างน้อยในระดับพื้นฐานก็ยังดีครับเพราะในช่วงหลังมันจะทำให้เราจัดทีมหรือการใส่ของต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้นมากเลยล่ะ
ทำความเข้าใจถึงจุดเด่นของอาวุธแต่ละชนิด
ถัดจากเรื่องพื้นฐานของตัวละครอย่างคลาสหรือระบบธาตุแล้วนั้นสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจในส่วนต่อมาก็คือ “อาวุธ” หรือ “ปืน” ที่ตัวละครนั้นๆ ใช้น่ะเองครับ เพราะตัวอาวุธนี้เองก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันเลยล่ะ
สำหรับอาวุธหรือตัวปืนภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 6 ชนิดด้วยกันคือ:
Assault Rifle – ปืนไรเฟิลจู่โจม มีจุดเด่นในการโจมตี ระยะใกล้ – กลาง พร้อมด้วยอัตราการรีโหลดค่อนข้างดีพอสมควร เป็นปืนที่ทำดาเมจได้ค่อนข้างดีเป็นอันดับต้นๆ เลยล่ะ
Sub – Machine Gun (SMG) – ปืนกลเบา เหมาะสำหรับการโจมตี ระยะใกล้ ซึ่งถึงแม้ระยะการโจมตีจะสั้นแต่ก็แรกมาด้วยกับอัตราการยิงที่สูงมากๆ และเบิร์สดาเมจได้ค่อนข้างไวพอสมควรเลย
Shotgun – ปืนลูกซอง เป็นปืน ระยะใกล้ ที่มีจุดเด่นคือการยิงแต่ละนัดค่อนข้างแรงและการรีโหลดที่ค่อนข้างไวพอสมควรเลย แต่ก็แลกมาด้วยจำนวนกระสุนค่อนข้างน้อยทำให้ต้องคอยรีโหลดบ่อยๆ น่ะเอง
Sniper Rifle – ปืนสไนเปอร์ เป็นปืนที่สามารถใช้ยิงได้ทุกระยะแต่เหมาะกับการยิง ระยะไกล มากกว่า ซึ่งปืนนี้จะมีจุดเด่นคือการยิงต่อนัดค่อนข้างรุนแรงและการรีโหลดที่ค่อนข้างไว แต่ข้อเสียก็คือการจะทำดาเมจให้ได้สูงสุดจำเป็นต้องชาร์จก่อนและจำนวนกระสุนต่อแม็คค่อนข้างน้อยทีเดียว
Rocket Launcher – ปืนยิงจรวด เป็นปืนที่ทำดาเมจได้ดีทุกระยะพร้อมด้วยการทำดาเมจที่ค่อนข้างหนักหน่วงเลยล่ะ แต่ข้อเสียคือจะยิงได้ทีละนัดแล้วต้องรีโหลดเสมอมันจึงทำให้ปืนนี้ยิงได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับปืนอื่น
Mini Gun – ปืนกลหนัก เป็นปืนกลที่เหมาะสำหรับ ระยะกลาง – ไกล โดยปืนนี้จะมีจุดเด่นคือการยิงที่ค่อนข้างรวดเร็วและกระสุนในแม็คกาซีนที่เยอะมากๆ ทำดาเมจได้รัวๆ เลย แต่ข้อเสียก็คือการยิงต่อนัดจะค่อนข้างเบาและเวลาในการรีโหลดนานเอาเรื่องเลย
ปืนแต่ละชนิดจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกันเลย บางปืนก็ยิงไกลไม่ได้ บางปืนก็รีโหลดช้าบ้างอะไรบ้าง มันเลยทำให้บางด่านปืนบางชนิดจะเล่นได้ค่อนข้างลำบากส่งผลให้ถึงแม้เราจะเอาตัวละครท็อปเทียร์ SS มาใช้ใช่ว่าจะผ่านเสมอไปก็มาจากจุดนี้นั่นล่ะครับ ดังนั้นนอกจากเรื่องตัวละครแล้วที่เราควรรู้ไว้ก็คือในส่วนของตัวปืนนี่ล่ะ
ให้ความสำคัญกับเรื่องของสกิล Burst
เทคนิคที่อยากแนะนำถัดมานั่นก็คือ “การให้ความสำคัญกับสกิล Burst” ครับ อย่างที่เรารู้กันดีว่าภายในเกมนี้แต่ละตัวละครจะมีสกิลท่าไม้ตายหรือสกิล Burst กำกับไว้อยู่ ซึ่งไอเจ้าสกิล Burst เนี่ยก็จะมีการแบ่งแยกออกไปเป็นประเภท I, II และ III อยู่ด้วย ตรงนี้ถ้าใครไม่สังเกตให้ดีแล้วจัดทีมตามเทียร์ลิสต์อย่างเดียวถึงเวลามีกรี๊ดแน่นอนครับ
เหตุผลที่เราต้องให้ความสำคัญนั้นก็เพราะการใช้ท่า Burst เนี่ย เราไม่สามารถใช้พร้อมกันได้ทุกตัวครับ โดยมีการเรียง I > II > III ซึ่งแต่ละประเภทนั้นจะใช้ได้แค่ครั้งละตัวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรามีตัว Burst I ถึง 3 ตัวแต่ตอนใช้จริงๆ เราจะเลือกใช้ได้แค่ 1 ตัวส่งผลให้อีก 2 ตัวนั้นจะใช้สกิลไม่ได้น่ะเอง การเลือกสกิล Burst จึงมีความสำคัญกว่าที่คิดมากเลยยังไงก็ขอให้ระวังตรงนี้กันไว้ด้วยนะไม่ใช่อิงแต่ตัวตามเมต้าอย่างเดียว
ช่วงแรกให้ลุย Campaign ก่อนไปยาวๆ เลย
ถ้าเกิดใครพึ่งเริ่มเล่นเกมมาแล้วไม่รู้จะทำอะไรก่อนก็ให้ไปลุย Campaign หรือ “เนื้อเรื่อง” กันยาวๆ ได้เลยครับ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในรายการแรกๆ ที่เราควรทำก่อนเลยเมื่อเข้ามาเล่นภายในเกม Nikke นี้น่ะเอง
โดยเหตุผลนั้นก็เหมือนเกมมือถือทั่วไปนั่นล่ะครับเนื่องจากตัวฟีเจอร์และระบบต่างๆ จะยังล็อกให้เราไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งการจะปลดล็อกได้นั้นก็มาจากการเคลียร์เนื้อเรื่องหรือ Campaign นี้น่ะเอง เราจึงควรโฟกัสไปที่ส่วนนี้ก่อนเป็นอันดับแรกๆ เลยล่ะ
นอกจากนี้ใครที่เป็นสายสุ่มกาชาทั้งหลายการเคลียร์ Campaign นี้จะมีของรางวัลกลับมาให้ค่อนข้างเยอะเลยด้วย ทั้งเพชร หรือแม้แต่ ใบสุ่มกาชา เองก็ตามที บวกด้วยตัวกิจกรรมมือใหม่หลายๆ เควสที่ให้เรามาเคลียร์ในส่วนนี้ก็จะมีของตอบแทนกลับมาเช่นกันครับ
อัปเกรดตัวละครอยู่เสมอห้ามลืมเด็ดขาด
เทคนิคต่อมาที่อยากแนะนำคือ “คอยอัปเกรดตัวละครอยู่เสมอ” ซึ่งส่วนนี้นับเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยเพราะต่อให้ถึงแม้เราจะเปิดได้ตัวติดท็อปเมต้ามาไว้ก็ตาม แต่ถ้าเราไม่อัปเกรดเลยตัวละครพวกนั้นก็แทบจะไม่ต่างจากตัวทั่วไปเลยนั่นล่ะนะ
สำหรับการอัปเกรดตัวละครภายในเกมนี้ก็ทำได้หลายทางเลยซึ่งหลักๆ จะประกอบด้วย การอัปเลเวล, การลิมิตเบรค, การใส่อุปกรณ์, การอัปเกรดอุปกรณ์, อัปเลเวลสกิล หรือแม้แต่การใส่ Cube เองก็ตามที คือจะมีทางเลือกให้ทำในระดับนึงเลยครับ ในช่วงแรกทรัพยากรที่เราต้องใช้อาจยังไม่หนักหนาเท่าไหร่แต่ยิ่งเลเวลสูงทรัพยากรที่ต้องใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังไงเราก็ควรต้องอัปอยู่ดีครับไม่งั้นไปต่อไม่ไหวแน่นอนเลย
จัดทีมให้ครบทุกตำแหน่งอย่าจัดมั่วซั่ว
สิ่งต่อมาที่เราควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ “การจัดทีม” นั่นเอง ซึ่งถ้าถามว่าควรจัดยังไงก็ควรจัดให้ครบทั้ง 3 คลาสเลยคือ Attacker, Defender และ Supporter นั่นเองครับ แต่มันก็มีบางครั้งที่เราสามารถจัดทีมแปลกๆ มาใช้ได้อยู่บ้างล่ะนะ (ถึงแม้จะใช้ไม่ได้ทุกด่านก็เถอะ)
สำหรับแนวการจัดทีมที่นิยมกันมากที่สุดในตอนนี้จะมีอยู่ 3 แบบด้วยกันคือ:
Attacker x 3, Defenders 1 และ Supporter 1 – รูปแบบยอดนิยมที่พบได้มากสุดครับ ซึ่งจะเน้นไปทางการทำดาเมจเป็นหลักแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องการเอาตัวรอดไปเลย
Attacker x 2, Defenders 2 และ Supporter 1 – รูปแบบนี้จะเน้นไปทางการเพิ่มโอกาสเอาตัวรอดมากกว่า เพราะมีตัวรับดาเมจถึง 2 ตัว
Attacker x 4 และ Supporter 1 – รูปแบบนี้จะโฟกัสไปทางการทำดาเมจแบบดาเมจจ๋าๆ เลยครับ แต่ก็นั่นล่ะมันแลกมากับความเสี่ยงพอสมควรเพราะเราจะไม่มีตัวแทงค์มาชนให้ทีมเลย
ซึ่ง 3 รูปแบบด้านบนนี้เป็นแบบที่เราพบได้มากที่สุดครับโดยเฉพาะแบบแรกแล้วด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเล่นได้เฉพาะสามแบบนี้นะ เพราะบางด่านผู้เล่นบางคนก็จัดทีมแปลกๆ ไปเล่นแล้วชนะก็มีอย่าง Attackers x 5 หรือไม่ก็ Supports x 4 + Defenders x 1 เคยเห็นมาแล้วเลย สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดทีมของเรานั่นล่ะครับ
ต่อเติมและอัปเกรด Outpost อยู่เสมอ
ฟีเจอร์ Outpost หรือ “ด่านหน้า” คือหนึ่งในฟีเจอร์ที่เราสามารถปลดล็อกได้เมื่อผ่านเนื้อเรื่องในด่าน 2 – 12 แล้ว มีลักษณะเป็นเหมือนกับเมืองที่เราสามารถเข้ามาต่อเติมอัปเกรดหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึ่งนี่เป็นอีกแหล่งที่เราควรให้ความสนใจไม่แพ้กับหัวข้อก่อนๆ หน้านี้เลยล่ะครับ
โดยเหตุผลที่เราควรอัปเกรดในด่านหน้านี้เพราะเมื่อเราสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ขึ้นมา บางอาคารมันก็จะมาพร้อมกับฟีเจอร์หรือระบบลูกเล่นใหม่ๆ ตามมาด้วย ไปจนถึงในส่วนของรางวัลหรือวิธีการฟาร์มหาวัตถุดิบก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวของ Command Centre, Arsenal, Cafe, Hotel หรือแม้แต่อาคารอื่นๆ ก็ตามที ถ้าเป็นไปได้ก็คอยสร้างหรือต่อเติมไปเรื่อยๆ เถอะครับมันคุ้มค่ามากเลย
โหมดออโต้ถ้าไม่ขี้เกียจจริงๆ อย่าใช้บ่อย
หนึ่งในระบบที่ทำออกมาให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมได้ง่ายขึ้นและสะดวกมากขึ้นก็คือ “ระบบต่อสู้อัตโนมัติ” หรือ Auto-Battle นั่นเองครับ ซึ่งถึงแม้มันจะดูสะดวกสบายยังไงแต่สิ่งที่อยากบอกคือ “ถ้าไม่ขี้เกียจจริงๆ อย่าใช้บ่อย” ครับ
เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้บ่อยนั้นเนื่องจากเวลาเรากดต่อสู้อัตโนมัติเนี่ยตัวละครเราจะเน้นยิงเป็นหลักแล้วไม่ค่อยทำการหลบสักเท่าไหร่ ทำให้เวลาศัตรูยิงมากี่นัดๆ ตัวเราก็จะยืนรับแทบทั้งหมด คือถ้าทีมเราไม่ได้อัปเกรดมาแน่นจริงๆ นี่แปปเดียวก็ลงไปคุยกับรากมะม่วงแล้วล่ะครับ
คือเอาจริงๆ มันก็สะดวกนะใช้เวลาเคลียร์ด่านเคลียร์โหมดเนื้อเรื่องทั่วไปพอไหวครับ แต่กรณีที่ลงพวกด่านโหดๆ หรือต้องเจอบอสให้เล่นมือเองดีกว่าเชื่อสิ