เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมาทาง Sony ได้มีการ Livestream เผยถึงรายละเอียดของเครื่องเกมแห่งอนาคตอย่าง PlayStation 5
เป็นเวลานับหลายเดือนหลังจากมีข่าวลือเรื่องการมาของ PlayStation 5 ในปี 2019 ซึ่งหลายคนต่างเฝ้ารอถึงเครื่องเกมแห่งอนาคตนี้ นอกจากนี้ทางฝั่งของคู่แข่งตัวหลักอย่าง Microsoft ก็ได้มีข่าวลือเรื่อง Xbox Series X มาเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นข่าวของการชนกันทั้งสองขั้วอำนาจเลยก็ว่าได้
ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทางฝั่งของ Microsoft เองก็ได้มีการประกาศถึงรายละเอียดสเปคของเครื่อง Xbox Series X มาก่อนแล้ว ซึ่งกระแสในตอนนั้นถือว่าสร้างความฮือฮาได้พอสมควร เพราะสเปคที่เผยออกมานั้นถือว่าแรงมาก แรงกว่าเครื่องคอนโซลที่เคยมีมาทั้งหมดเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 มีนาคม เวลาราวๆ 5ทุ่มบ้านเรา ทาง Sony ก็ได้มี Livestream เกี่ยวกับการเผยถึงรายละเอียดสเปคของ PlayStation 5 อย่างเป็นทางการ
เราไปดูกันดีกว่าครับ กับ 10 สิ่งที่น่าสนใจในการ Livestream ครั้งนี้ ว่า Sony มีไม้เด็ดอะไรซ่อนไว้บ้าง
1. สเปคเต็มๆ ของ PlayStation 5
- CPU: 8x Zen 2 Cores at 3.5GHz (variable frequency)
- GPU: 10.28 TFLOPs, 36 CUs at 2.23GHz (variable frequency)
- GPU Architecture: Custom RDNA 2
- Memory/Interface: 16GB GDDR6/256-bit
- Memory Bandwidth: 448GB/s
- Internal Storage: Custom 825GB SSD
- IO Throughput: 5.5GB/s (Raw), Typical 8 – 9GB/s (Compressed)
- Expandable Storage: NVMe SSD Slot
- Optical Drive: 4K UHD Blu-ray Drive
2. GPU ของ PlayStation 5 จะสามารถรันได้สูงสุด 10.28 TFLOPs
แม้ว่าความภาคภูมิใจของ Sony จะเป็นการนำเสนอการ์ดจอที่แรงเอามากๆ แต่ก็แอบต้องผิดหวังเพราะมันยังเบากว่า Xbox Series X ซึ่งสามารถรันได้สูงสุดถึง 12 TFLOPs (แพ้ตัวเลข) แต่เทียบกันกับ PlayStation 4 Pro ถือว่าแรงกว่า 2 เท่ากว่าๆ เลยก็ว่าได้ เพราะป PS4 Pro สามารถรันได้เพียง 4.2 TFLOPs
โดยการ์ดจอที่ทาง Sony ใส่มาในเครื่องจะเป็นการ์ดจอที่มีถึง 36หัว และรันได้ถึง 2.23GHz ในแต่ละหัว ซึ่งตัวเครื่องจะปรับการใช้งานของมันเองตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับซอฟท์แวร์ที่รันอยู่นั่นเอง
3. SSD ตัวใหม่
SSD ตัวใหม่ของทาง Sony จะสามารถรันได้สูงสุด 5GB/s หรือถ้าตัวเลขมันเห็นภาพไม่พอ จะขออธิบายง่ายๆ ว่า มันสามารถให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่ต้องมีการรอโหลดได้เลย เทียบกันกับ PS4 Pro ที่ทำได้เพียง 50-100MB/s เท่านั้น เรียกได้ว่าสิ่งนี้คือกุญแจที่แสดงถึงความก้าวกระโดดของเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้
หาก PS4 สามารถโหลดเกม 1GB ได้ใน 20 วินาที เจ้า PlayStation 5 นี้จะสามารถทำได้ 2 GB ภายในเวลา 0.27 วินาที ถ้าคิดแบบลวกๆ เลยก็ราวๆ 100 เท่านั้นเองครับ…
สรุปสั้นๆ ว่า เราจะไม่ต้องรอโหลดหน้าจอ (ที่เด็กๆ ชอบเรียกกันว่าจอดำระหว่างโหลด) การอัพแพทช์ หรือการติดตั้งเกม ก็จะใช้เวลาน้อยลงอย่างมาก
4. การมาของ SSD จะเป็นการปลดล็อคกรอบของผู้พัฒนาเกม
เทคโนโลยีในปัจจุบันที่ใส่ลงในเครื่อง PS5 จะทำให้ผู้พัฒนาสามารถดีไซน์ได้อิสระมากกว่าที่เคยมีมา นั่นแปลว่าประสบการณ์การติดอยู่ในลิฟท์ การคลานอยู่ตามซอกกำแพง และการวิ่งในโถงทางเดินโล่งๆ เมื่อที่เกมพยายามจะโหลดพวกพื้นผิวหรือรายละเอียดของด่านนั้นๆ ที่พวกเราเคยสัมผัสในอดีต จะไม่มีอีกต่อไป
5. สามารถใช้ External Hard Drives ได้
เราสามารถใช้ External SSD เพื่อมาใช้กับตัว PlayStation 5 ได้อย่างไม่จำกัดยี่ห้อหรือรุ่น ซึ่งแตกต่างจาก Xbox Series X ที่จะต้องใช้ Microsoft’s Xbox Series X Memory Card เท่านั้น
6. 100 เกมยอดนิยมจาก PS4 จะสามารถเล่นได้บน PS5
Sony ได้มีการยืนยันตัวระบบ PS5 backwards compatibility ที่มีการถกเถียงกันก่อนหน้านี้ ว่ามาแน่นอน โดยเกมที่จะเอามาใส่นั่นคือ 100 เกมที่มีผู้เล่นมากที่สุดบนเครื่อง PS4 นับจากวันที่เครื่อง PS4 วางจำหน่าย ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องเป็น 100 เกม นั่นเป็นเพราะ PS5 เทพเกินไปจนอาจจะทำให้เกิดปัญหาตอนรันเกม PS4
7. Backwards Compatible จะรองรับกับ External SSD เช่นกัน
หากคุณมีเกมที่อยู่ในลิสท์ของ Backwards Compatible อยู่แล้วก็สามารถที่จะเอาเกมดังกล่าวลง External SSD เพื่อนำไปเล่นบน PS5 ได้ ไม่จำเป็นต้องโหลดลงเครื่อง หรือหากจะอัพเกรด PS5 ด้วยการซื้อ External SSD (เช่นพวก M.2) ที่มีขนาดความจุที่ใหญ่กว่ามาใส่ก็สามารถทำได้เช่นกัน
8. เสียงพัดลมสุดน่ารำคาญจะหายไป
ปัญหาใหญ่ระดับชาติอย่างเสียงพัดลมที่ดังจนน่ารำคาญจะหมดไปบนเครื่อง PS5 โดยในอดีตเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นเมื่อเล่น God of War บนเครื่อง PS4 เสียงพัดลมจะดังจนน่ารำคตาญ และกินไฟอย่างมหาศาล โดยการพัฒนาระบบระบายความร้อนในเครื่องนี้ ทำให้เครื่อง PS5 สามารถระบายความร้อนได้สูงโดยที่จะไม่มีเสียงพัดลมมารบกวนใจอย่างแน่นอน
9. ประสบการณ์ “เสียง” ที่แปลกใหม่
ด้วยเทคโลยีใหม่ที่ถูกใส่ลงใน PS5 อย่าง Tempest 3D Audio Tech ซึ่งจะเสริมสร้างประสบการณ์ของเสียงในเกมได้สมจริงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตัวอย่างเช่นเสียงฝนตกจะให้มิติที่สมจริงมากขึ้น มิติเสียงดูมีทิศทางขึ้นนั่นเอง
10. Beta ของเกมบน PS5 จะมาในปีนี้อย่างแน่นอน
Cerny ไม่ได้มีการพูดถึงรายละเอียดเชิงลึกว่าเกมที่มาจะเป็นเกมอะไร แต่ได้มีการกล่าวว่า Beta Test จะมาในช่วงสิ้นปีนี้ จริงๆ แล้วส่วนตัวผมไม่คิดว่านี่จะเป็นข่าวดีสักเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าเราคงต้องการเครื่องเกมที่เมื่อวางจำหน่ายแล้วจะมีเกมที่พร้อมเล่นในทันที แต่อย่างไรก็ดี นี่อาจจะเป็นคำใบ้ว่าการวางจำหน่ายของเครื่อง PS5 จริงๆ แล้วอาจจะเป็นสิ้นปีนี้ก็ได้