ตอนแรกก็คิดว่าจะรอให้ครบ 20 ปีก่อนดีไหมน้า แต่พอมาเอาเข้าจริงแล้วคิดว่าเขียนไปเลยก็ได้กระมัง กับหนึ่งในเกม Hack and Slash และ Dungeon Crawler ที่โด่งดังที่สุดตัวหนึ่งในช่วงปี Y2K หรือปี 2000 นั่นเอง กับเกมภาคต่อที่ชื่อว่า Diablo 2 จากทาง Blizzard Entertainment ที่เป็นความทรงจำที่ดีและกลายเป็นแรงบรรดาลใจ รวมถึงคำสาปกลายๆ ที่เกมแนวนี้จะต้องถูกยกไปเปรียบเทียบอยู่เสมอและหาทางก้าวข้ามให้ได้
Diablo 2 ล่าเจ้าอสูร 2
ตัวเกม Diablo 2 นั้นก็สร้างขึ้นมาเป็นภาคต่อของเกมชื่อเดียวกันก่อนหน้า Diablo ที่ออกมาเมื่อปี 1996 หรืออีก 4 ปีให้หลังนั่นเอง ซึ่งตัวเกม Diablo ในเวลานั้นก็จัดว่าเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เหล่าคนเล่นนั้นติดกันงอมแงมจากการเล่นที่เรียบง่ายแต่มี Replayability (การเล่นซ้ำ) ที่สูง ในการตะลุยหาของแรร์ระดับตำนาน (Unique, Magic Item เจ๋งๆ) เพื่อให้ตัวละครแข็งแกร่งถึงขีดสุดตามฉบับเกม RPG แนว Dungeon Crawler
การออกมาของภาค 2 นั้นก็เป็นการขยายจักรวาลเดิมของ Diablo ให้มากขึ้น เนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกมากขึ้น การเล่นที่ลื่นไหลและทันสมัยกว่าเดิม มีสายอาชีพเยอะกว่าเดิม ศัตรูที่แสบกว่าเก่า ไอเทมนับพันหมื่นชิ้นใหม่ๆ รวมกันเป็นภาคต่อที่ทรงพลังและดังเป็นพลุแตกในเวลานั้นเลยทีเดียว ซึ่งในไทยเองก็มีทาง BM Media ซื้อลิขสิทธิ์มาจำหน่ายแบบภาษาไทย (เฉพาะ Setup, กล่อง และคู่มือ ภาษาในเกมยังเป็นอังกฤษอยู่จ๊ะ)
การมาต่อของภาคเสริมอย่าง Lord of Destruction ก็ได้ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดและทำให้ตัวเกมนั้นยอดเยี่ยมในแง่ของความน่าเล่นต่างๆ ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านความสะดวกสบายในการเล่น การปรับเปลี่ยนให้ลงตัวมากขึ้น การเพิ่มสารพัดไอเทมมากมาย รวมถึงเจ้าอสูรที่ขาดหายไปและจุดจบของเนื้อเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เนื้อเรื่อง
(ในส่วนนี้จะขอพูดถึงที่สามารถอ่านได้จากในเกมเป็นหลัก ขอยกเว้นเนื้อเรื่องส่วนที่ต้องตามเก็บนอกเกมไว้นะก่อน ไม่งั้นยาวนรกระเบิดแน่)
ในขณะที่ภาคแรก เราสามารถสรุปเนื้อเรื่องสั้นๆ ได้ว่า มีคนปลุกเจ้าอสูรขึ้นมา ฮีโร่มาช่วยเลยบุกลงไปถล่ม ระหว่างทางก็เจอเหล่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจที่เจ้าอสูรมอบให้ เป็นพล๊อตสั้นๆ ง่ายๆ และไม่เปิดกว้างมากนัก
ภาคสอง ถึงแม้เราจะสรุปสั้นๆ ได้ว่าเจ้าอสูรฟื้นกลับมา ออกเดินทางเพื่อไปปลุกเจ้าอสูรพี่น้องเพื่อหาทางยึดครองโลก และฮีโร่อย่างเราตามไปเช็คบิลให้หมดได้ แต่ก็มีการเปิดกว้างมากขึ้น หมู่บ้านและเมืองต่างๆ มีเรื่องราวของตัวเองที่ชัดเจนมากขึ้น ตัวละครเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ของโลกใบนี้ มีการหักมุมตลบแตลงของอำนาจที่ชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา ทำให้เนื้อเรื่องง่ายๆ อย่าง “โลกเดือดร้อนเพราะตัวร้ายบุก ฮีโร่ช่วยปราบ จบ” มันมีอะไรที่ลุ่มลึกมากกว่านั้นเป็นอย่างมาก
ตัวภาคเสริมก็เช่นเดียวกันที่ยังคงความเรียบง่ายแต่มีมิติให้รู้สึกติดตาม มาช่วยปิดท้ายฉากจบที่ค้างคาของเดิมว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เราจะได้เห็นความแสบของเจ้าอสูรแห่งการทำลายล้าง ที่ลากคนอื่นลงมาด้วยความย่อยยับของโลกใบนี้แม้ว่าตัวมันเองจะถูกกำจัดลงไปได้ก็ตาม
Classic Hack and Slash
ต้องบอกเลยว่า แม้จะกลับมาเล่นใหม่ในอีก 19 ปีให้หลังจากวันที่มันถูกวางจำหน่ายมา แต่นอกจากในด้านขนาดหน้าจอ (Resolution) ที่จำกัดจำเขี่ยแล้ว ในด้านของ Game Play แบบ Hack and Slash มันก็เรียบง่ายและไม่ได้ดูตกยุคแบบที่ไม่ไหวจะเคลียร์แต่อย่างใด มันอาจจะมีหลายๆ อย่างที่ไม่สะดวกเมื่อเทียบกับเกมในยุคปัจจุบันที่น่าจะ patch เพิ่มเติมได้ (เช่นการกด Identify ไอเทมต่อเนื่อง, ปุ่มคีย์ลัดสำหรับย้ายไอเทมไปมาระหว่างกล่องกับในตัว) แต่ก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการเล่นเกมมันถูกริดรอนลงไปขนาดนั้น มันยังคงเล่นสนุก และทำให้เสพย์ติดได้เหมือนกับการเล่นเมื่อวันวานจริงๆ
ในช่วงแรกที่ดูน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเดินๆ ตีๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความสนุกที่มากขึ้นเมื่อตัวละครเริ่มมีเลเวลสูงขึ้นและมีของเล่นให้เลือกใช้ได้มากขึ้น ถึงกระนั้นตัวเลือกของสกิลที่จำกัด การพยายามหาชุดเกราะและอาวุธดีๆ เพื่อผ่านเหล่า Act Boss ที่โหดร้ายในแต่ละช่วงของเนื้อเรื่อง การประยุกษ์ความรู้ที่มีเพื่อทำให้ตัวละครที่อ่อนแอผ่านจุดที่ยากเย็นไปได้ ก็ทำให้ตัวเกมมีความท้าทายอยู่เสมอ
ระบบที่จบเกมไปแล้ว มีระดับความยากใหม่บนเนื้อเรื่องเดิมพร้อมใส่ความท้าทายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดพลังป้องกันธาตุต่างๆ ลง เพิ่มความโหดของมอนขึ้น และตอบแทนความท้าทายด้วยไอเทมที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ มันอาจจะดูเป็นมุกที่เล่นง่าย เผาและค่อนข้างเชยมาก แต่ถ้าว่ากันในสมัยนั้น มันก็จัดว่าเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกใหม่อยู่ และเล่นกับความเรียบง่ายได้ดี (เพิ่มความยากในการท้าทายแบบเดิม เท่ากับผู้เล่นรู้ว่าจะต้องเจออะไร แต่ยากกว่าเดิม ต้องงัดวิธีที่ดีกว่าเดิมมาใช้นั่นเอง) เรียกได้ว่ามันก็ตอบโจทย์ในยุคนั้นเป็นอย่างมากเลยล่ะ
ล่าจนสูญพันธุ์
แน่นอนว่าความเป็น RPG สมัยก่อนถ้าเป็นแนวนี้แล้วก็ย่อมมากับการ Grinding กันแบบเลือดตากระเด็นจริงๆ ซึ่งมันเด็ดดวงกว่า MMORPG ในยุคใกล้ๆ กันเสียอีก ถ้าเพื่อนๆ เคยได้ยินโอกาสได้ของหายาก 1 ในหมื่นของเกมหรืออย่างการ์ดใน Rangarok Online แล้ว การได้ยินว่าของที่แรร์ที่สุดในเกม Diablo 2 มีโอกาสหล่น 1 ในสิบล้าน อาจจะทึ่งไปเลยก็ได้ (แต่คิดในแง่ดี สิบล้านที่ว่ายังนับได้จากมอนสเตอร์ทุกตัวในเกม แค่…..ต้องใช้มากกว่าชิ้นเดียวแค่นั้นเอง)
แต่ถ้าถามว่าแล้วทำไมทุกคนยังพยายามหาของที่เว่อร์วังพวกนี้ คำตอบก็คงเป็นอะไรที่เรียบง่ายว่า “ก็มันของโคตรดี” หรือ “ก็ไหนๆ ไม่มีอะไรทำแต่ยังอยากเล่นอยู่อ่ะ” จริงๆ คือมันเป็นจุดขายของเกมแนว RPG grinding เลยนะ ที่ผู้เล่นยังรู้สึกว่าตัวละครยังสามารถพัฒนาต่อได้ ข้อมูลมีอยู่ในมือ แต่ทดลองไม่ได้เพราะไม่มีของ และคำนวนแล้วมั่นใจว่ามันทำให้ตัวละครพัฒนาได้อีกมาก รวมกับเนื้อเรื่องต่างๆ ที่เล่นจบไปแล้ว แต่ไอ้เจ้าบอสพวกนั้นก็ยังคงตึงมือ ถ้าพัฒนาจนกระทืบเป็นขนมได้แล้วนั่นล่ะ สะใจแล้ว พอแล้ว มันเป็นเป้าหมายการเล่นที่เรียบง่ายแต่ก็ถูกใจหลายคนจริงๆ มันไม่ใช่เป้าหมายอย่างการจบเกมแล้วพอ หรือสนุกไปกับเนื้อเรื่องแค่อย่างเดียว (แน่นอนคนที่เล่น Diablo เพื่อเป้าหมายเหล่านี้ก็มีมากมาย)
นอกจากนี้แล้วตัวเกมก็ยังมีระบบ Ladder หรือการเล่นแบบจัดอันดับที่มีการจัดอันดับทุกๆ ช่วง 3-4 เดือนว่าใครไปได้ไกลที่สุดเก็บเลเวลได้มากที่สุด ก่อนจะรีเซ็ทเริ่มใหม่เรื่อยๆ ทำให้ทุกคนได้เริ่มใหม่เป็นระยะๆ ล้มลุกคลุกคลานไปอีกครั้งเพื่อแย่งชิงอันดับ ก็เป็นอะไรที่กระตุ้นให้คนอยากเล่นเพื่อชิงอันดับกันเรื่อยๆ (ก่อนที่เกมต่อๆ มาจะมีการพัฒนาเป็น League ที่มีอะไรเพิ่มมาเรื่อยๆ อย่างเช่น Path of Exile) ซึ่งหากใครไม่ชอบก็สามารถเล่นแบบธรรมดาไม่มีรีเซ็ทก็ได้เช่นกัน (ใน Ladder จะมีไอเทมเฉพาะที่ไม่มีในโหมดอื่นด้วยอีกแน่ะ)
กลับมาเล่นซ้ำด้วยข้อมูลที่เพียบพร้อม
สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมสังคมเกมนั้นก็ไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าตำราข้อมูลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Website หรือ Wiki ที่รวมข้อมูลสำคัญๆ ของในเกม รวมถึงเมื่อถามบางเรื่องให้เคลียร์กับทางผู้พัฒนา พวกเขาก็ยอมที่จะบอกโดยไม่ปิดบัง (ถ้าไม่ใช่อะไรที่ลับเกินไปหรือเยอะเกินไป) ทำให้เกิดการรวมรวบข้อมูลที่ถูกต้องและมั่นคง กลายเป็นสารานุกรมของเกมขึ้นมา ซึ่งในกรณีของ Diablo 2 นั้นนอกจาก Website ทั่วไปแล้ว ตัวเกมก็ยังมีข้อมูลของตัวเองในรูปแบบของ website อย่าง [ Arrest Submit ] ที่อธิบายตั้งแต่พื้นฐาน ยันข้อมูลของไอเทมระดับ Unique ทุกชิ้นในเกมอีกด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้การเล่นใหม่อีกครั้งเป็นอะไรที่มีความพร้อมมากขึ้น ไม่ต้องลองผิดลองถูกจนรู้สึกเสียดายที่เล่นผิดมาก่อน ได้วางแผนล่วงหน้า ดูว่าผลที่ได้จากความคิดมันจะสำเร็จออกมาเป็นจริงอย่างไร
ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ไม่ชอบข้อมูลพวกนี้ก็สามารถข้ามไปพร้อมเล่นตามปกติและเรียนรู้จากในเกมได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี ข้อมูลเหล่านี้ก็จะบอกเพียงแค่ค่าสเตตัสต่างๆ (ยกเว้นบาง website ที่จะพูดถึงในเชิงสูตรคำนวนลึกลงไปจนถึงหลักการทำงานของสกิล) ทำให้แม้จะดูก็ไม่ได้มีผลต่อการเล่นมากเท่าไหร่นัก
นอกจากข้อมูลทางสถานะแล้ว ตัว website เองก็มักจะเสริมส่วนของเนื้อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นที่มาที่ไปของสกิลต่างๆ หรือคำอธิบายของมอนสเตอร์ และปีศาจระดับสูงให้อ่านได้เพลินๆ เก็บตกจากที่เราไม่เจอในเกมได้อีกด้วย
เดินไปไหนฟระ!
ใช่ว่าในความดีงามจะไม่มีข้อเสีย ตัว Diablo 2 เองก็มีข้อเสียน่ารำคาญไม่น้อยอยู่เช่นเดียวกัน โดยอย่างแรกที่ต้องพูดถึงแบบขาดไม่ได้คงเป็นเรื่องของการหาทางเดิน (Pathfinding) ของ AI ผู้ช่วยทั้งหลาย ที่พี่แกสามารถเดินสุ่มไปมาได้อย่างชาญฉลาดและทำทุกทางเพื่อจะไปติดอะไรซักอย่าง ไม่มาช่วยเราตีมอนนั่นเอง สำหรับอาชีพที่พึ่งพาตัวเองได้มากตอนต้นเกมก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเป็นอาชีพที่ต้นเกมต้องพึ่งผู้ช่วยเยอะ หรือเป็น Build ที่ต้นเกมเล่นลำบากแล้ว AI พรรคนี้คือฝันร้ายดีๆ นี่เอง
สกิลบางอย่างนั้นตอนเห็นครั้งแรกก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจดี แต่หลังจากการจบ Normal Mode แล้วก็แลดูจะหาโอกาสใช้ได้จริงยากขึ้นจนถึงขั้นใช้การไม่ได้เลย หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มพลังให้กับสกิลหากินต่อไป (ระบบ Synergy) ก็เป็นอีกหนึ่งในจุดที่ทำให้ดูกร่อยลงไปบ้าง (อันที่จริงก่อนที่จะมี Synergy เข้ามา ใครที่เผลออัพไปก่อนนี่แทบร้องจริงๆ)
ในด้านของการทำให้ศัตรูอมตะต่อการโจมตีชนิดใดชนิดหนึ่งก็เป็นการเพิ่มความท้าทายที่ดี แต่ในขณะเดียวกันถ้าเป็นการเล่นแบบ Solo ก็จะจำกัด Build ที่สามารถเล่นได้ลงไปทันที เช่นการเล่น Sorceress สายไฟล้วนที่รุนแรงเพียงธาตุเดียว รับรองว่าใน Hell Mode จะได้วิ่งหนีศัตรูกว่า 1/4 ของเกมเพราะพี่แกเป็นอมตะต่อธาตุไฟอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยสุด บอสใหญ่ของแต่ละฉากก็ไม่มีการเป็นอมตะล่ะนะ นั่นหมายถึงถ้าโชคดีพอที่จะไม่เจอศัตรูพวกนั้นป่วนหรือบังคับต้องฆ่าทิ้งก่อนจะได้เจอบอสล่ะน่อ
นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นข้อเสียของเกมเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาเกมเก่าๆ ที่อาจจะขึ้นกับแต่ละคน เช่นส่วนตัวก็จะไม่ชอบที่เวลาโจมตีประชิดแล้วศัตรูเดินเพียงนิดเดียวก็หลุดระยะทันที (ไม่ใช่ตีไม่โดนนะจ๊ะ) แต่ทีศัตรูหรือผู้ช่วยเราตีนี่ โดนเกือบทุกแปะ ให้ดิ้นตาย
พูดตรงๆ ว่า การกลับมาเล่น Diablo 2 อีกครั้งเพราะได้ข่าวเกี่ยวกับ Diablo ภาคใหม่นั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกผิดหวังในการเล่นมันเลย ในทางกลับกัน กลับเป็นผู้เขียนซะเองที่โดนเจ้าเกมบ้านี่ดูดเวลาหายไปเป็นอาทิตย์ซะงั้น เพราะความที่มันเล่นง่ายแต่เล่นแล้วติดนี่ล่ะที่น่ากลัว และมันสนุกในแบบของมัน
ถ้าเพื่อนๆ อยากกลับมาเล่น ก็สามารถแวะไปที่ทาง Blizzard เพื่อซื้อตัวเกมได้ โดยสนนราคาอยู่ที่ภาคละ $9.99 เท่านั้น (ถูกมากถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่เป็นแบบกล่อง กล่องละ 899 บาท) และหากใครที่เคยซื้อแบบกล่องถูกลิขสิทธิ์มาสมัยก่อน ก็สามารถนำ CD-Key ของเก่าไปเคลมเป็นของใหม่แล้วใช้ได้ ไม่ต้องซื้อเกมใหม่นะจ๊ะ [ ดูวิธี Redeem ได้ที่นี่ ] ว่าแล้วก็ขอกลับเข้าไปฟาร์มของเพิ่มหน่อย ไม่ดรอปซะทีน้า…