เนื่องด้วยว่าช่วงนี้กระแสของแฟรนไชส์ Nier เริ่มกลับมาบูมขึ้นอีกครั้ง จากการที่ทางค่ายได้นำ Nier : Replicant ในเวอร์ชั่นใหม่กลับมาวางจำหน่ายนั่นเอง ซึ่งพอเห็นเกมนี้กลับมานิยมอีกครั้ง มันก็เลยทำให้ผมนึกถึงอีกซีรี่ส์นึงทันทีเลย ซึ่งก็คือ Drakengard นั่นเอง
และผมมั่นใจว่าหลายคนอาจไม่รู้ว่าทั้งสองซีรี่ส์นี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันยังไงบ้าง ในบทความนี้ผมเลยจะพาเพื่อนๆ ย้อนวันวานกันสักนิด กลับไปสู่จุดเชื่อมโยงระหว่าง Drakengard และ Nier เอาเป็นว่ามาเริ่มกันเลยดีกว่า
Drakengard คือเกมอะไร และมีไทม์ไลน์ยังไงบ้าง
Drakengard หรือในอีกชื่อหนึ่งที่คนญี่ปุ่นมักคุ้นกันกับ Drag-on Dragoon เป็นเกมแนว Action RPG ซึ่งได้มีการวางจำหน่ายครั้งแรกให้กับเครื่อง PlayStation 2 ในปี 2003 โดยมีการสร้างออกมาทั้งหมด 3 ภาคด้วยกันนั่นเอง และแน่นอนทั้งสามเกมนี้ยังเป็นผลงานของตา Yoko Taro จอมปั่นประสาทผู้เล่น อีกด้วย
ในส่วนของรูปแบบเกมเพลย์นั้นประกอบไปด้วยการเล่นสองแบบ การขี่บนหลังมังกรให้อารมณ์เหมือนเกมแนวเครื่องบินรบอย่าง Ace Combat และอีกแบบคือการเดินหน้าบู๊แหลกในสไตล์สามก๊กมุโซ Dynasty Warrior ซึ่งรูปแบบการเล่นทั้งสองแบบจะมีการสลับไปมาตามเนื้อหาแต่ละช่วง ผู้เล่นจึงไม่ต้องกังวลว่าตัวเกมจะซํ้าซากแต่อย่างใด
และถึงแม้จะมีการทำออกมาทั้งหมดสามภาค แต่การเรียงไทมไลน์นั้นจะไม่ใช่จาก 1 ไป 3 แต่อย่างใด เราสามารถเรียงไทม์ไลน์เนื้อเรื่องในเกมได้คือ Drakengard 3 > Drakengard 1 > Drakengard 2 นั่นเอง
ซึ่งภาคที่จะมีการเชื่อมโยงไปยัง Nier นั้นจะประกอบด้วยเพียง Drakengard 3 และ Drakengard 1 เท่านั้นนะ ดังนั้นผมจะไม่ขอพูดถึงเกี่ยวกับภาคสองแล้วกันนะครับ
ต้นกำเนิดเรื่องราวทั้งหมดใน Drakengard 3
Darkengard 3 จะมีเนื้อเรื่องอยู่ในโลกแฟนตาซีอีกใบ และมีจุดเริ่มต้นขึ้นอยู่ที่มหานครแห่ง Cathedral โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Zero หนึ่งในหกจอมเวทย์ Intoner (ウタウタイ) เหล่าจอมเวทย์ผู้สามารถควบคุมเวทมนตร์ผ่านเสียงเพลง พร้อมกันกับพี่น้องของเธออีกห้าคนด้วยกัน
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เหล่าแม่มดทั้งหกร่วมมือกันหยุดยั้งกองทัพข้าศึกที่เข้ามาทำการโจมตีแถบชนบทของอาณาจักรไว้ได้สำเร็จ และได้ถูกยกย่องให้เป็น “เทพเจ้า” จากเหล่าผู้คนในอาณาจักร ช่วงเวลาต่อมา Zero ได้เกิดสงสัยถึงที่มาของพลังในตัวของเหล่า Intoner เธอจึงออกสืบเสาะหาความเป็นมาของพลังดังกล่าว จนพบว่าแท้จริงแล้วพลังที่พวกเธอได้รับมานั้นล้วนแล้วมาจากดอกไม้ปีศาจซึ่งฝังอยู่ในร่างกายของพวกเธอเอง หากดอกไม้นี้ผลิบานเมื่อไหร่มนุษย์ก็จะต้องสูญสิ้นเมื่อนั้น
จึงทำให้ Zero ต้องทำการออกไล่ฆ่าพี่น้องของตนเพื่อหยุดหยั้งไม่ให้ดอกไม้ดังกล่าวสามารถผลิบานออกมาได้นั่นเอง แน่นอนว่าในตอนท้ายเรื่องตัวเธอสามารถทำได้สำเร็จซึ่งนั่นรวมถึงตัวของเธอเองด้วย
เหตุการณ์ยังไม่จบและดำเนินมาต่อใน Drakengard
ถึงแม้ Zero จะหยุดยั้งการผลิบานของดอกไม้ปีศาจได้ก็จริงแต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เมื่อหนึ่งในพี่น้องของเธอได้ทำการโคลนร่างของตัวเองไว้ พร้อมให้กำเนิดลูกหลานออกมา ซึ่งเด็กเหล่านี้ทุกคนล้วนแล้วสืบทอดพลังจาก Intoner มาทั้งสิ้น ก่อนในภายหลังพวกเขาจะรวมตัวกันก่อตั้งลัทธินาม The Watcher โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายโลกนั่นเอง
เนื้อเรื่องใน Drakengard ว่าถึงเหตุการณ์ในรุ่นถัดมา ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Caim วีรบุรุษหนุ่มผู้ค้นพบถึงจุดประสงค์แท้จริงของ The Watcher ว่าพวกมันกำลังทำการรวบรวม “เมล็ดพันธุ์แห่งความพินาศ” ที่กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วแห่งในดินแดนนี้ โดยเมื่อสามารถรวบรวมเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดได้ครบก็จะสามารถเปิดประตูมิติที่เชื่อมโยงกับโลกใบอื่น และพวกมันต้องการะเรียกปีศาจจากต่างมิติเพื่อให้เข้ามากวาดล้างมนุษย์ให้สิ้นซากนั่นเอง
โดยในช่วงเหตุการณ์ภายในเกมทางลัทธิดังกล่าวสามารถรวบรวมเมล็ดพันธุ์ได้เกือบครบแล้วขาดเพียงอยู่แค่เมล็ดสุดท้ายเท่านั้น จึงทำให้ Caim ต้องออกไปขัดขวางแผนการนี้พร้อมกันกับมังกรคู่ใจของเขา แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามในท้ายที่สุด The Watcher ก็สามารถรวบรวมเมล็ดทั้งหมดได้ครบและทำการเปิดประตูมิติได้สำเร็จอยู่ดี
จุดเชื่อมโยงสู่ต้นกำเนิด Nier
Drakengard นั้นมีฉากจบหลายแบบ แต่จุดที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของ Nier นั้นอยู่ในฉากจบแบบ Ending E หลังจากลิทธิดังกล่าวสามารถอัญเชิญปีศาจออกมาได้สำเร็จ ตัวของ Caim จึงตัดสินใจใช้เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวเพื่อทำการเปิดประตูมิติอีกครั้ง และได้นำเจ้าปีศาจพร้อมตัวของเขาเข้าประตูดังกล่าวไป
ซึ่งอีกฟากของประตูนั้นไม่ใช่ที่ใดเลยแต่เป็นโลกของเรานั่นเอง โดยประตูได้มาเปิดยัง “กรุงโตเกียว” ประเทศญี่ปุ่นในปี 2003 หลังจากข้ามประตูมิติมาท้ายที่สุดตัวของ Caim ก็สามารถจัดการเจ้าปีศาจดังกล่าวลงได้ แต่ถึงอย่างนั้นทางรัฐบาลของญี่ปุ่นกลับมองว่าตัวของเขาเป็นภัยอันตราย และสั่งให้เครื่องบินรบยิงมิสไซส์เข้าใจมตีใส่ทันที ส่งผลให้ทั้งคู่เสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
หลังจากทั้งคู่ได้สิ้นใจลงร่างของทั้งสองก็ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นโลก ส่งผลให้ “พลังเวทย์” ในตัวของทั้งคู่กระจายออก ก่อให้เกิดเป็นโรคระบาดชนิดใหม่และคร่าชีวิตผู้คนในบริเวณนั้นทั้งหมด เนื่องด้วยจากสาเหตุการเกิดโรคครั้งนี้มาจากเวทมนตร์รวมทั้งยังมาจากมิติอื่น จึงทำให้มนุษย์บนโลกไม่สามารถค้นหาวิธีป้องกันหรือรักษาได้ ในท้ายที่สุดโรคร้ายนี้ก็ลุกลามกัดกินไปทั่วทั้งโลกส่งผลให้มนุษยชาติแทบสูญสิ้น และมีผู้รอดชีวิตหลงเหลือเพียงหยิบมือเท่านั้นเอง
ซึ่งนี่จึงเป็นจุดกำเนิดเรื่องราวของ Nier ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับโลกของพวกเขา รวมถึงเป็นต้นเหตุของเรื่องราวแปลกๆ ที่เกิดตามมาในภายหลังอีกด้วยนั่นเอง
เกล็ดน่ารู้เล็กน้อย
• ถ้านับตามจริงแล้วแฟรนไชส์ของ Nier ต้องนับว่าเป็นหนึ่งในโลกคู่ขนาน เพราะตัวของ Drakengard นั้นมีหลายฉากจบมาก ยกตัวอย่างเช่นกรณีฉากจบ Ending A ผลที่ได้จึงทำให้กำเนิดเป็นเรื่องราวภาคต่อใน Drakengard 2 แทน ดังนั้นเราจึงไม่อาจเรียกว่า Nier เป็นเนื้อเรื่องจักรวาลหลักได้อย่างเต็มปากเท่าไหร่นัก
• ในเกม Nier ภาคแรก ช่วงระหว่างเรื่องราวการเดินทางไปยังปราสาทของ Shadowlord ผู้เล่นจะมีโอกาศได้พบกับ Sleeping Beauty ต้นไม้แห่งความทรงจำ โดยถ้าเราไล่อ่านไปสักพักจะมีประโยคนึงปรากฏขึ้นมาว่า “A Red Dragon falls from the Heaven . . . “ หรือ “การร่วงหล่นของมังกรแดงจากสรวงสวรรค์” ซึ่งในประโยคนี้มังกรแดงที่ว่าก็คือมังกรคู่ใจของ Caim ในตอนจบแบบ Ending E ของ Drakengard นั่นเอง
• Nier : Gestalt และ Nier : Replicant นั้นจริงๆ แล้วคือเกมเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างคือด้านตัวละครเพียงนิดเดียว โดย Replicant นั้นถือว่าเป็นภาคแรกที่แท้จริง ว่าถึงเรื่องราวของตัวเอกผู้หาทางรักษาให้กับน้องสาวของเขานามว่า Yonah และเดิมทีแล้วตัวเกมในภาคนี้มีการจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเพียงที่เดียว
ในขณะเดียวกัน Gestalt เป็น Nier เกมแรกที่ได้ออกมาอยู่ในตลาดสากล โดยมีการเปลี่ยนแปลงจากบท “พี่ชายและน้องสาว” มาเป็น “คุณพ่อและลูกสาว” แทน ว่าถึงคุณพ่อในวัย 40 ปีผู้ออกเดินทางหาวิธีรักษาให้กับ Yonah ลูกสาวของเขา เหตุผลที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเอกนั้นเป็นเพราะ “ค่าความนิยม” เนื่องจากในช่วงนั้นความนิยมของตัวเอกสไตล์กำยำกำลังเป็นที่ฮิตฮอตอยู่ จึงทำให้ตัวเกมเลือกเปลี่ยนตัวเอกเพื่อให้ตีตลาดได้ง่ายขึ้นล่ะนะ
โดยไม่ว่าจะเล่นจาก Gestalt หรือ Replicant ก็ตามทีทั้งสองเกมก็ล้วนมีจุดเริ่มต้นจุดเดียวกันเสมอนั่นเอง
จักรวาลของตา Yoko Taro แกเนี่ยจริงๆ แล้วใหญ่มากเลยนะ เพราะ Drakengard ทุกภาคล้วนแล้วมีฉากจบมากกว่าหนึ่งเสมอ ไปจนถึงภาคต่ออย่าง Nier เองแกก็ไม่เว้น แถมบางภาคยังมีการเล่นกับไทม์ไลน์อย่างย้อนอดีตอีก ทำให้การจะเข้าใจได้ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องยากพอสมควรเลยล่ะ ดังนั้นหากในบทความนี้มีการคลาดเคลื่อนไปบ้างอะไรยังไงก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับผม หรือถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีจุดแนะนำตรงนั้นตรงนี้ก็สามารถคอมเมนต์ไว้ได้เช่นเคยนะ